Vanity Fair : ภาพสวยงามที่ว่างเปล่า
Vanity Fair : ภาพสวยงามที่ว่างเปล่า
6/10
กำกับ : มิร่า แนร์
บทภาพยนตร์ : จูเลียน เฟลโลวส์, แมทธิว โฟลค์, มาร์ค สคีต จากบทประพันธ์ของ วิลเลียม เมคพีซ แธคเกอร์เรย์
ผู้แสดง : รีส วินเธอร์สปูน, โรโมล่า กาไร, บ๊อบ ฮอสกินส์, ไรน์ ไอฟานส์, จิม บรอดเบนท์

บ่อยครั้งที่คนเราตกในอยู่ภาพสวยงามของอุดมคติ กว่าจะรู้ชีวิตเดินทางผิดพลาดก็มาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับ เหมือนดังเช่น เบ๊คกี้ และอมีเลีย ใน Vanity Fair ผลงานล่าสุดของ มิร่า แนร์ ซึ่งดูจะคล้ายกับงานก่อนหน้าของเธออย่าง Monsoon Wedding, Hyterical Blindness ที่มุ่งสะท้อนชีวิตของหญิงสาวที่ต้องหลงทางไปกับสังคมในหลายระดับ
Vanity Fair เป็นวรรณกรรมของ วิลเลี่ยม เมคพีซ แธคเกอร์เรย์ ซึ่งเป็นผู้ถนัดในการตีแผ่ชีวิตของคนสังคมชั้นสูงและชนชั้นกลางในเกาะอังกฤษ เรื่องรีเบ๊คก้า ชาร์ป หรือ เบ๊คกี้(รีส วินเธอร์สปูน) หญิงสาวในสังคมชั้นล่าง มีพ่อเป็นจิตรกรไส้แห้ง และแม่เป็นนักร้องโอเปร่า เธอกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก และหวังที่จะมีชีวิตในสังคมชั้นสูงพ้นจากชีวิตเก่าๆ ด้วยความรู้ที่เธอมีเพียบพร้อม เธอได้รู้จักกับอมีเลีย(โรโมล่า กาไร) คนมีตระกูลที่ไม่มีความทะเยอทะยานนอกจากต้องการรักแท้ เธอสนับสนุนความรักระหว่างพี่ชายของเธอกับเบ๊คกี้แต่ก็คลาดกันไป หลังจากนั้นเมื่อเธอมาเป็นครูสอนพิเศษให้กับเซอร์ พิตต์ ครอว์ลี่ย์(บ๊อบ ฮอสกินส์) ผู้ดีตกยาก เธอก็สามารถผันตนเองไปเป็นคนรับใช้ของมาทิลด์ ครอว์ลี่ย์ ผู้มีฐานะระดับเศรษฐินี และหว่านเสน่ห์กับรอว์ด้อน(เจมส์ เพียวฟอย) จนเขาหลงรักและแต่งงานกับเธอ อย่างไรก็ตามความต้องการยกระดับตนของเบ๊คกี้ก็ไม่จบเพียงแค่นั้น
มิร่า แนร์ สะท้อนภาพจอมปลอมในสังคมหลายลักษณะ ตั้งแต่ภาพของยุคสมัยนโปเลียน ที่มีความผันผวนทางการเมือง เกิดสงครามบ่อยครั้งจากอำนาจที่ขึ้นลงของนโปเลียน และทำให้สังคมในขณะนั้นชนชั้นสูงหรือคนสามัญเกิดความไม่แน่นอนตลอด หนังเองก็ฉลาดที่ทำให้เบ๊คกี้พบกับอุปสรรคขึ้นๆลงๆ ในชีวิตทะเยอทะยานของเธออยู่เรื่อยๆ
ภาพหลายภาพถูกสะท้อนมาอย่างเรียบง่ายแต่ฉลาด ไม่ว่าจะเป็นภาพใบไม้ร่วงอันแสดงความไม่ยั่งยืนของลาภยศ, การนำศิลปะอินเดียมาผสมผสานในชีวิตเบ๊คกี้ และคนอังกฤษที่บ่งชี้ถึงภาพอุดมคติที่ไม่เป็นจริง, ความตลกขบขันของคนชั้นสูงที่เจ้ายศเจ้าอย่างใช้วาจาเชือดเฉือนกัน แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยการซุบซิบนินทา ซึ่งเอาเข้าจริงก็ต่างหวังในสมบัติ หรือบรรดาศักดิ์ที่สูงขึ้นนั่นเอง
เบ๊คกี้ ถูกนำเสนอได้อย่างน่าเชื่อถือ เธอยกฐานะทางสังคมราวกับติดตามภาพวาดของพ่อเธอที่ถูกขายประมูลไป โดยมีฉากการมอบภาพวาดสุดท้ายของพ่อให้กับอมีเลียเสมือนเป็นการทิ้งรากที่เคยมีติดตัว แม้มีสิ่งที่ติดตัวคือความปรารถนาในดินแดนอุดมคติอย่างอินเดีย แต่กลับหลงผิดไปกับการเข้าสังคมชั้นสูงเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายนั้นแทน บทเรียนแลกของเบ๊คกี้ที่ต้องกินพริกทั้งน้ำตานั้นานอกจากจะสะท้อนสังคมที่เธอจะต้องไปประสบยังบ่งบอกอีกว่าความสวยงามนั้นแลกมากับความเจ็บปวดเสมอ
ภาพเปรียบอีกอย่างของชีวิตเสี่ยงโชคในเบ๊คกี้ คือการให้สามีของเบ๊คกี้อย่างรอว์ด้อน เป็นนักพนันตัวยง
ก่อนที่จะชะตาชีวิตหลังการมีชีวิตครอบครัวของเธอจะนำพาให้ไปพบกับภาพวาดของพ่ออีกครั้งแต่เมื่อเธอแหงนมองดูกับสิ่งที่แลกมา ความปลื้มปิติที่บากบั่นในแววตาของเธอกลับไม่มีเหลืออีกต่อไป
น่าชมเชยกับเครื่องแต่งกายที่ตอกย้ำลักษณะตัวละครอย่างเบ๊คกี้ได้อีกทาง เธอใฝ่ฝันถึงอินเดียจึงเครื่องแต่งกายในแบบภารตะตลอดเวลา ยามเมื่อวัยผ่านเลยไปเบ๊คกี้ก็ยังไม่วายแต่งกายโดยมีผ้าคลุมหน้าเป็นรูปดวงดาวรอให้เธอไขว่คว้าอยู่ร่ำไป
ขณะที่ตัวละครอย่าง อมีเลีย กลับแตกต่างตรงข้ามเธอเกิดในตระกูลผู้ดี จึงแสวงหาความรักแบบรักเดียวใจเดียวจาก จอร์จ ออสบอร์น(โจนาธาน ไรนส์ เมเยอร์)บุตรชายของตระกูลพ่อค้าซึ่งไม่ได้รักเธอแม้แต่น้อย โดยที่เธอกลับไม่เห็นความรักที่มาหาเธอตรงหน้าของวิลเลี่ยม(ไรน์ ไอฟานส์) แม้เมื่อฐานะการเงินย่ำแย่ก็ยังไม่เปลี่ยนแปรในความคิดของตน
หากเบ๊คกี้ เป็นผู้ที่ต้องการฐานะทางสังคมโดยปราศจากศักดิ์ศรี อมีเลียก็คือผู้ที่ยึดติดในศักดิ์ศรีโดยไม่ห่วงสถานภาพของตน
มองให้ลึกแนร์ทำงานต่อเนื่องจากผลงานก่อนหน้ามากกว่าหนังย้อนยุค สภาพสังคมทุนนิยมอุดมความขัดแย้งของชาติต่างๆ ในปัจจุบันเอง ดูจะเข้ากันดีกับสภาพสังคมในยุคนโปเลียน ที่มีแต่สงครามไม่หยุดหย่อน ผู้คนหลงใหลในลาภยศ และภาพลวงตาที่สวยงามกันจนไม่ลืมหูลืมตาจนขาดเหตุผลการแยกแยะ
อย่างไรก็ตามแม้ Vanity Fair จะโดดเด่นดังเช่นที่กล่าวมาแต่หนังก็ขาดพลังในแง่ของงานสร้างแบบหนังย้อนยุคดีๆ เรื่องหนึ่งควรจะมี การที่หนังมุ่งเน้นสะท้อนภาพสังคมมากเกินไป ทำให้หนังขาดความสวยงาม ภาพตระการตาแบบที่หนังประเภทนี้มีไปแทบจะสิ้นเชิง อีกทั้งปริมาณการนำเสนอหลายครั้งก็ดูจะขาดชั้นเชิง ผิดกับงานในลักษณะเดียวกันอย่าง Gosford Park , The Great Expectations หรือ Dangerous Liasons อยู่ไม่น้อย ในส่วนที่ต้องการจะให้แรงหนังก็กลับแรงไม่พอ
บทภาพยนตร์ของเฟลโลวส์ ไม่มีตัวละครที่แสดงความโดดเด่นได้เทียบเท่าที่เขาเคยเขียนใน Gosford Park ที่แม้จะเฉลี่ยบทบาทตัวละครให้มีสีสันทุกคน แต่มันก็ทำให้ตัวละครที่ได้ชื่อว่าโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในโลกวรรณกรรมอย่าง เบ๊คกี้ถูกลดทอนความเด่นลงไปโดยเฉพาะในช่วงท้ายที่เรื่องราวค่อนข้างรวบรัดจนแทบไม่เห็นสีสันที่เคยเป็นในช่วงต้น อีกทั้งมันยังลดด่านทดสอบที่เข้มข้นขึ้นของเบ๊คกี้ในสังคมชั้นสูงออกไป จนเราไม่เห็นอุปสรรคของเธออย่างที่เห็นในช่วงแรก น่าเสียดายกับการแสดงของรีส วินเธอร์สปูนที่เห็นถึงความตั้งใจและฝีมือที่เธอมีท่ามกลางนักแสดงอังกฤษชั้นดีเต็มเรื่อง บทเบ๊คกี้ในที่นี้น่าจะส่งเธอได้มากกว่าที่เป็นอยู่
โดยรวม Vanity Fair เป็นงานในระดับที่น่าพอใจไม่ว่าจะในเจตนาของตัวนักแสดงหรือผู้กำกับ และคุณภาพของหนัง แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่า หากหนังมีความกล้าแหวกขนบของหนังย้อนยุคมากกว่านี้ ความสนุกในการเสียดสี การบ่งชี้ปัญหาสังคมอย่างที่แนร์ถนัด จะบรรลุวัตถุประสงค์ของบทประพันธ์ได้กว่าที่เห็น และโดดเด่นพ้นระดับเรื่องราวในลักษณะเดียวกันของตัวบทประพันธ์ ที่แม้จะมีความเป็นเลิศในตัวเองอยู่แล้ว แต่มันก็ถูกสร้างมาหลายต่อหลายครั้งเสียจนอาจหาความแตกต่างไม่เจอ
--------------------
6/10
กำกับ : มิร่า แนร์
บทภาพยนตร์ : จูเลียน เฟลโลวส์, แมทธิว โฟลค์, มาร์ค สคีต จากบทประพันธ์ของ วิลเลียม เมคพีซ แธคเกอร์เรย์
ผู้แสดง : รีส วินเธอร์สปูน, โรโมล่า กาไร, บ๊อบ ฮอสกินส์, ไรน์ ไอฟานส์, จิม บรอดเบนท์

บ่อยครั้งที่คนเราตกในอยู่ภาพสวยงามของอุดมคติ กว่าจะรู้ชีวิตเดินทางผิดพลาดก็มาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับ เหมือนดังเช่น เบ๊คกี้ และอมีเลีย ใน Vanity Fair ผลงานล่าสุดของ มิร่า แนร์ ซึ่งดูจะคล้ายกับงานก่อนหน้าของเธออย่าง Monsoon Wedding, Hyterical Blindness ที่มุ่งสะท้อนชีวิตของหญิงสาวที่ต้องหลงทางไปกับสังคมในหลายระดับ
Vanity Fair เป็นวรรณกรรมของ วิลเลี่ยม เมคพีซ แธคเกอร์เรย์ ซึ่งเป็นผู้ถนัดในการตีแผ่ชีวิตของคนสังคมชั้นสูงและชนชั้นกลางในเกาะอังกฤษ เรื่องรีเบ๊คก้า ชาร์ป หรือ เบ๊คกี้(รีส วินเธอร์สปูน) หญิงสาวในสังคมชั้นล่าง มีพ่อเป็นจิตรกรไส้แห้ง และแม่เป็นนักร้องโอเปร่า เธอกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก และหวังที่จะมีชีวิตในสังคมชั้นสูงพ้นจากชีวิตเก่าๆ ด้วยความรู้ที่เธอมีเพียบพร้อม เธอได้รู้จักกับอมีเลีย(โรโมล่า กาไร) คนมีตระกูลที่ไม่มีความทะเยอทะยานนอกจากต้องการรักแท้ เธอสนับสนุนความรักระหว่างพี่ชายของเธอกับเบ๊คกี้แต่ก็คลาดกันไป หลังจากนั้นเมื่อเธอมาเป็นครูสอนพิเศษให้กับเซอร์ พิตต์ ครอว์ลี่ย์(บ๊อบ ฮอสกินส์) ผู้ดีตกยาก เธอก็สามารถผันตนเองไปเป็นคนรับใช้ของมาทิลด์ ครอว์ลี่ย์ ผู้มีฐานะระดับเศรษฐินี และหว่านเสน่ห์กับรอว์ด้อน(เจมส์ เพียวฟอย) จนเขาหลงรักและแต่งงานกับเธอ อย่างไรก็ตามความต้องการยกระดับตนของเบ๊คกี้ก็ไม่จบเพียงแค่นั้น
มิร่า แนร์ สะท้อนภาพจอมปลอมในสังคมหลายลักษณะ ตั้งแต่ภาพของยุคสมัยนโปเลียน ที่มีความผันผวนทางการเมือง เกิดสงครามบ่อยครั้งจากอำนาจที่ขึ้นลงของนโปเลียน และทำให้สังคมในขณะนั้นชนชั้นสูงหรือคนสามัญเกิดความไม่แน่นอนตลอด หนังเองก็ฉลาดที่ทำให้เบ๊คกี้พบกับอุปสรรคขึ้นๆลงๆ ในชีวิตทะเยอทะยานของเธออยู่เรื่อยๆ
ภาพหลายภาพถูกสะท้อนมาอย่างเรียบง่ายแต่ฉลาด ไม่ว่าจะเป็นภาพใบไม้ร่วงอันแสดงความไม่ยั่งยืนของลาภยศ, การนำศิลปะอินเดียมาผสมผสานในชีวิตเบ๊คกี้ และคนอังกฤษที่บ่งชี้ถึงภาพอุดมคติที่ไม่เป็นจริง, ความตลกขบขันของคนชั้นสูงที่เจ้ายศเจ้าอย่างใช้วาจาเชือดเฉือนกัน แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยการซุบซิบนินทา ซึ่งเอาเข้าจริงก็ต่างหวังในสมบัติ หรือบรรดาศักดิ์ที่สูงขึ้นนั่นเอง
ส่วนที่หนังทำได้ดีจริงๆ คือการเปรียบเทียบของตัวละครอย่างเบ๊คกี้ และอมีเลีย ซึ่งต่างเป็นภาคตรงข้ามของกันและกัน แต่กลับส่งผลสะท้อนในสาระเรื่องอุดมคติ – กับภาพลวงในบริบทสังคมยุคนั้น กับยุคปัจจุบันได้อย่างดี |
เบ๊คกี้ ถูกนำเสนอได้อย่างน่าเชื่อถือ เธอยกฐานะทางสังคมราวกับติดตามภาพวาดของพ่อเธอที่ถูกขายประมูลไป โดยมีฉากการมอบภาพวาดสุดท้ายของพ่อให้กับอมีเลียเสมือนเป็นการทิ้งรากที่เคยมีติดตัว แม้มีสิ่งที่ติดตัวคือความปรารถนาในดินแดนอุดมคติอย่างอินเดีย แต่กลับหลงผิดไปกับการเข้าสังคมชั้นสูงเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายนั้นแทน บทเรียนแลกของเบ๊คกี้ที่ต้องกินพริกทั้งน้ำตานั้นานอกจากจะสะท้อนสังคมที่เธอจะต้องไปประสบยังบ่งบอกอีกว่าความสวยงามนั้นแลกมากับความเจ็บปวดเสมอ
ภาพเปรียบอีกอย่างของชีวิตเสี่ยงโชคในเบ๊คกี้ คือการให้สามีของเบ๊คกี้อย่างรอว์ด้อน เป็นนักพนันตัวยง
ก่อนที่จะชะตาชีวิตหลังการมีชีวิตครอบครัวของเธอจะนำพาให้ไปพบกับภาพวาดของพ่ออีกครั้งแต่เมื่อเธอแหงนมองดูกับสิ่งที่แลกมา ความปลื้มปิติที่บากบั่นในแววตาของเธอกลับไม่มีเหลืออีกต่อไป
น่าชมเชยกับเครื่องแต่งกายที่ตอกย้ำลักษณะตัวละครอย่างเบ๊คกี้ได้อีกทาง เธอใฝ่ฝันถึงอินเดียจึงเครื่องแต่งกายในแบบภารตะตลอดเวลา ยามเมื่อวัยผ่านเลยไปเบ๊คกี้ก็ยังไม่วายแต่งกายโดยมีผ้าคลุมหน้าเป็นรูปดวงดาวรอให้เธอไขว่คว้าอยู่ร่ำไป
ขณะที่ตัวละครอย่าง อมีเลีย กลับแตกต่างตรงข้ามเธอเกิดในตระกูลผู้ดี จึงแสวงหาความรักแบบรักเดียวใจเดียวจาก จอร์จ ออสบอร์น(โจนาธาน ไรนส์ เมเยอร์)บุตรชายของตระกูลพ่อค้าซึ่งไม่ได้รักเธอแม้แต่น้อย โดยที่เธอกลับไม่เห็นความรักที่มาหาเธอตรงหน้าของวิลเลี่ยม(ไรน์ ไอฟานส์) แม้เมื่อฐานะการเงินย่ำแย่ก็ยังไม่เปลี่ยนแปรในความคิดของตน
หากเบ๊คกี้ เป็นผู้ที่ต้องการฐานะทางสังคมโดยปราศจากศักดิ์ศรี อมีเลียก็คือผู้ที่ยึดติดในศักดิ์ศรีโดยไม่ห่วงสถานภาพของตน
มองให้ลึกแนร์ทำงานต่อเนื่องจากผลงานก่อนหน้ามากกว่าหนังย้อนยุค สภาพสังคมทุนนิยมอุดมความขัดแย้งของชาติต่างๆ ในปัจจุบันเอง ดูจะเข้ากันดีกับสภาพสังคมในยุคนโปเลียน ที่มีแต่สงครามไม่หยุดหย่อน ผู้คนหลงใหลในลาภยศ และภาพลวงตาที่สวยงามกันจนไม่ลืมหูลืมตาจนขาดเหตุผลการแยกแยะ
อย่างไรก็ตามแม้ Vanity Fair จะโดดเด่นดังเช่นที่กล่าวมาแต่หนังก็ขาดพลังในแง่ของงานสร้างแบบหนังย้อนยุคดีๆ เรื่องหนึ่งควรจะมี การที่หนังมุ่งเน้นสะท้อนภาพสังคมมากเกินไป ทำให้หนังขาดความสวยงาม ภาพตระการตาแบบที่หนังประเภทนี้มีไปแทบจะสิ้นเชิง อีกทั้งปริมาณการนำเสนอหลายครั้งก็ดูจะขาดชั้นเชิง ผิดกับงานในลักษณะเดียวกันอย่าง Gosford Park , The Great Expectations หรือ Dangerous Liasons อยู่ไม่น้อย ในส่วนที่ต้องการจะให้แรงหนังก็กลับแรงไม่พอ
บทภาพยนตร์ของเฟลโลวส์ ไม่มีตัวละครที่แสดงความโดดเด่นได้เทียบเท่าที่เขาเคยเขียนใน Gosford Park ที่แม้จะเฉลี่ยบทบาทตัวละครให้มีสีสันทุกคน แต่มันก็ทำให้ตัวละครที่ได้ชื่อว่าโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในโลกวรรณกรรมอย่าง เบ๊คกี้ถูกลดทอนความเด่นลงไปโดยเฉพาะในช่วงท้ายที่เรื่องราวค่อนข้างรวบรัดจนแทบไม่เห็นสีสันที่เคยเป็นในช่วงต้น อีกทั้งมันยังลดด่านทดสอบที่เข้มข้นขึ้นของเบ๊คกี้ในสังคมชั้นสูงออกไป จนเราไม่เห็นอุปสรรคของเธออย่างที่เห็นในช่วงแรก น่าเสียดายกับการแสดงของรีส วินเธอร์สปูนที่เห็นถึงความตั้งใจและฝีมือที่เธอมีท่ามกลางนักแสดงอังกฤษชั้นดีเต็มเรื่อง บทเบ๊คกี้ในที่นี้น่าจะส่งเธอได้มากกว่าที่เป็นอยู่
โดยรวม Vanity Fair เป็นงานในระดับที่น่าพอใจไม่ว่าจะในเจตนาของตัวนักแสดงหรือผู้กำกับ และคุณภาพของหนัง แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่า หากหนังมีความกล้าแหวกขนบของหนังย้อนยุคมากกว่านี้ ความสนุกในการเสียดสี การบ่งชี้ปัญหาสังคมอย่างที่แนร์ถนัด จะบรรลุวัตถุประสงค์ของบทประพันธ์ได้กว่าที่เห็น และโดดเด่นพ้นระดับเรื่องราวในลักษณะเดียวกันของตัวบทประพันธ์ ที่แม้จะมีความเป็นเลิศในตัวเองอยู่แล้ว แต่มันก็ถูกสร้างมาหลายต่อหลายครั้งเสียจนอาจหาความแตกต่างไม่เจอ
--------------------
0 Comments:
Post a Comment
Subscribe to Post Comments [Atom]
<< Home