Alexander : มหาราชในมุมมองของสโตน
Alexander : มหาราชในมุมมองของสโตน
5/10
ผู้กำกับ : โอลิเวอร์ สโตน
บทภาพยนตร์ : โอลิเวอร์ สโตน, คริสโตเฟอร์ ไคลย์, เลต้า คาโลกริดิส
นำแสดง : โคลิน ฟาร์เรล,แองเจลิน่า โจลี่, แอนโธนี่ ฮอพกินส์, วาล คิลเมอร์
กำกับภาพ : โรดริโก้ ปริเอโต้
ดนตรีประกอบ : แวงเจลลิส
โอลิเวอร์ สโตน เป็นนักทำหนังที่โดดเด่นในช่วงกลางยุค 80s รางวัลออสการ์ในสาขาผู้กำกับถึง 2 ตัวย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จ การยอมรับ และฝีมือของสโตนอย่างไม่ต้องสงสัย นับตั้งแต่ Salvador ในปี 1986 ซึ่งถือเป็นหนังเรื่องแรกที่สโตนได้มีโอกาสแสดงตัวตนมากขึ้น งานของเขาจับต้องได้ถึงเอกลักษณ์ในการนำเสนอโลกของผู้ชาย ภาวะ และมุมมองที่ข้องเกี่ยวกับสังคมที่เพศชายเป็นใหญ่ ถูกนำเสนอด้วยการแข่งขัน การปะทะทางคำพูดและร่างกาย ความรุนแรง และพลังทางอารมณ์เกรี้ยวกราด แม้ในงานที่ตลาดที่สุดอย่าง Any Given Sunday
แต่จุดแข็งก้ถือเป็นดาบสองคมหลังความสำเร็จจาก JFK เป็นต้นมา หนังของเขาได้รับความนิยมน้อยลงทุกที ด้วยมุมมองทางสังคมที่พ้นกระแส จุดอ่อนในการนำเสนอเรื่องที่นุ่มนวล และละเอียดอ่อน ซึ่งต้องยอมรับว่าหนังของสโตนมีน้อยเหลือเกิน รวมไปถึงงานล่าสุดอย่าง Alexander
เรื่องราวของอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์แห่งมาซีโดเนีย(356-323 ก่อนคริสตกาล) ที่ทำให้อารยธรรมกรีกแผ่ขยายไปได้ไกลที่สุดจากอียิปต์ ไปจนถึงแคว้นแบคเทรียของอินเดีย สิ่งที่พระองค์ได้รับการยกย่องอย่างมากเพราะว่าไม่ใช่แค่การรบตีเมือง แต่เป็นการนำอารยธรรมกรีกไปพัฒนาเมืองเหล่านั้นให้เจริญยิ่งขึ้น แม้จะสิ้นพระชนม์ด้วยวัย 33 พรรษา แต่ประวัติศาสตร์ในอดีตที่คลุมเครือ และชีวิตของคนผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งนั้นก็มีเรื่องราวที่สามารถบอกเล่าได้ไม่จบสิ้น
โอลิเวอร์ สโตน เล่าอเล็กซานเดอร์มหาราช(โคลิน ฟาเรล) ครอบคลุมตั้งแต่ประสูติไปจนสวรรคต โดยปโตเลมี( แอนโธนี่ ฮอพกินส์) ปราชญ์และนักรบซึ่งได้ปกครองอียิปต์หลังจากอเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ ขับเน้นปมความขัดแย้งระหว่างพระบิดา พระเจ้าฟิลิปที่ 2 (วาล คิมเมอร์)และพระมารดา พระนางโอลิมเปียส(แองเจลิน่า โจลี่) ชีวิตวัยเยาว์ ม้าศึกคู่ใจ ความขัดแย้งกับพระบิดา การออกรบเพื่อไขว่คว้าชีวิตที่เป็นอิสระ เหตุการณ์ตามบันทึกประวัติศาสตร์ในการยกทัพตีดินแดงต่างๆ โดยเฉพาะแถบเปอร์เซียและอินเดีย การอภิเษกกับเจ้าหญิงแห่งแคว้นแบคเทรีย ประเด็นเรื่องการเป็นเกย์ของอเล็กซานเดอร์ที่มีความสัมพันธ์กับสหายคนสนิทอย่างเฮฟฟาอีสเทียน(จาเร็ต เลโต้) ชัยชนะในสงคราม ความขัดแย้งของเหล่าทหารที่มากขึ้น ไปจนถึงเหตุแห่งการสิ้นพระชนม์ รวมความเบ็ดเสร็จแล้วทำให้หนังยาวเกือบ 3 ชั่วโมง

ไม่เคยมีใครยืนยันว่าวิธีการนำเสนอบันทึกทางประวัติศาสตร์แบบไหนจะดีที่สุด แต่การนำเสนอทั้งหมดแบบใน Alexander ของสโตน ก็ไม่ต่างจากบทภาพยนตร์ดัดแปลงส่วนใหญ่ที่นำเอาวรรณกรรมมาถ่ายทอดโดยไม่พยายามลดหรือตัดรายละเอียดออกไป และถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ความขาดอรรถรสแบบภาพยนตร์ ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการเล่าเรื่อง แต่หวังผลในการสร้างอารมณ์ร่วม และนั่นทำให้ Alexander กลายเป็นหนังประวัติศาสตร์-มหากาพย์ที่ค่อนข้างจืดชืด เพราะรายละเอียดที่มุ่งตรงมายังตัวละครเพียงคนเดียวในหนัง ทำให้ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกที่อเล็กซานเดอร์มีต่อตัวละครอี่นได้อย่างลึกซึ้ง ยิ่งรวมกับจุดอ่อนของสโตนที่แม้หนังจะโดดเด่นในฉากการต่อสู้ และปะทะอารมณ์ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้หนังดูได้ต่อเนื่อง แต่กลับพลาดท่าในฉากรักซึ่งทำได้อย่างประดักประเดิก เนื่องจากหนังให้เวลาในการทำความเข้าใจประเด็นเกย์ของยุคกรีกน้อยมาก แต่กลับเน้นฉากแสดงความรักบ่อยครั้งเกิน โดยแทบไม่ได้ส่งผลต่อสาระของหนังสักเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เวลา 3 ชั่วโมงดูยืดเยื้อยาวนานกว่าปรกติ โดยเฉพาะช่วงต้นๆ ที่ถูกเล่าเรื่องทื่อตรงจนแทบจะเป็นการลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์โดยไม่จำเป็น ส่งผลให้ไคลแม็กซ์ช่วงท้ายมาถึงช้าเกินความจำเป็น
สาระของหนังว่าด้วยการปลดปล่อยชีวิตของตนเป็นอิสระ ตามถ้อยคำที่อเล็กซานเดอร์ดำรัสออกมา “ท้ายที่สุด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำ” รวมไปถึงการเน้นย้ำในหลายครั้งอาทิ สัญลักษณ์นกอินทรีย์, การสู้รบที่ยาวนานไม่ยอมสิ้นสุด, การปล่อยดินแดนที่ยึดครองให้ปกครองตนเอง, และฉากวัยเยาว์ที่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการสู้กับเฮฟฟาอีสเทียนแต่รวมแล้วก็ไม่หนักแน่นเพียงพอ เนื่องจากมันถูกบดบังด้วยเรื่องอื่นๆ แทบจะตลอดเวลา
หลายๆส่วนในหนังยิ่งทำให้เกิดความเคลือบแคลงและสร้างอุปสรรคให้กับคุณภาพของหนังที่ลักลั่น ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงอย่าง จาเร็ต เลโต้ ที่หน้าสวยจนไม่น่าจะสู้รบกับใคร, ฟรานซิส บอช ที่อ้อนแอ้นราวกับผู้หญิงทำให้เรื่องเกย์ในหนังโดดออกมาอย่างง่ายๆ, โรเบิร์ต เออร์ลี่ย ที่รับบท ปโตเลมีวัยหนุ่ม แต่กลับไม่ทำให้เรารู้สึกร่วมไปได้ว่าเขาคือผู้เล่าเรื่องแทรกเข้ามาตลอดเลย หรือแม้แต่แอนโธนี่ ฮอพกินส์ ที่เหมือนถูกแกล้งให้มาเล่าเรื่องเพื่อเขียนบันทึกโดยไม่ได้ช่วยอะไรให้กับเรื่องราวไม่ว่าในทางเร่งเร้าหรือพักอารมณ์ งานออกแบบที่อยู่ในระดับดีแต่กลับไม่สามารถสร้างความแปลกใหม่ใดๆ ให้กับหนังทุนสูงขนาดนี้ สิ่งที่พอจะน่าชื่นชมอยู่สักหน่อยเห็นจะเป็นการกำกับภาพของ โรดริโก้ ปริเอโต้ ซึ่งแม้จะไม่สามารถให้ภาพที่สวยงามได้ในฉากธรรมชาติอันหลากหลาย แต่ก็สร้างอารมณ์แฟนตาซีในช่วงไคลแม็กซ์ได้อย่างน่าประทับใจ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยังคงโดดเด่นในงานของเขาเสมอก็คือ การตั้งคำถามวิพากษ์สังคมโดยไม่ต้องเกรงกลัวใครที่ไหน ใน Platoon ลำพังดูเหมือนจะเป็นบทสรุปของสงครามเวียดนามได้อย่างครบถ้วน แต่เอาเข้าจริงสโตนก็ยังเดินหน้าทำ Born of The Fourth July และ Heaven and Earth จนมันกลายเป็นไตรภาคที่ทั้งสรุปและเป็นเชิงหยั่งคำถามถึงเหตุการณ์ดังกล่าวโดยไม่ลดละ, การสร้างคำถามกับเรื่องของผู้นำประเทศใน JFK, และ Nixon บทวิพากษ์สื่อมวลชนระดับเต็มเหนี่ยวใน Natural Born Killer หรือแม้แต่ U-Turn หนังฟิล์มนัวร์ ที่เขายังให้เราเห็นการตั้งคำถามต่อทางเลือกในชีวิตของตัวเอกอยู่หลายตอน
ใน Alexander สโตนยังคงตั้งคำถามกับมหาราชพระองค์นี้อย่างที่เขาอยากนำเสนอ เขานำเรื่องราวต่างๆมานำเสนอในประเด็นความขัดแย้งที่มีผลต่อพฤติกรรมของอเล็กซานเดอร์ขมวดทั้งหมดในช่วงท้าย ส่งผลให้เกิดฉากบีบคั้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ปมฆ่าพ่อจากเหตุการณ์ฝังใจที่ไม่อาจช่วยพระบิดาในการลอบปลงพระชนม์ได้ ความขัดแย้งกับพระมารดาที่เกลียดชังพระสวามี ความรักระหว่างหญิงและชาย ความฝังใจในเรื่องเทพปกรณัม ทบทวีไปกับความขัดแย้งของบรรดาทหารที่ถูกโทสะและความสับสนของพระองค์ การใช้เรื่องของเทพต่างๆ มาปะปน พฤติกรรมประหลาดของพระนางโอลิมเปียสในตอนต้น ไม่สูญหายเมื่อฉากในช่วงท้ายแสดงให้เห็นความสับสนของคนผู้แบกรับหลายสิ่งในชีวิตในโทนแฟนตาซีได้อย่างสมฝีมือ และคงไม่มีใครกล้านำเอาเรื่องดังกล่าวมาใส่ไว้ทั้งหมดลุ่นๆ แบบสโตนอีกแล้ว
สโตนสร้างคำถามสำคัญกับเรื่อง เขาทำให้เรามองอเล็กซานเดอร์เป็นผู้ที่จมอยู่กับความทุกข์ ท่ามกลางความขัดแย้งในชีวิตระดับมหาศาล ทั้งครอบครัว,สังคม,ความรัก,การต่อสู้ หรือรสนิยทางเพศ หลายต่อหลายครั้งที่การรบหนังปล่อยให้เราเห็นความพ่ายแพ้มากกว่าชัยชนะที่สมบูรณ์ ทำให้เกิดคำถามต่อสาระการค้นหาชีวิตที่อิสระของอเล็กซานเดอร์ การแสดงของโคลิน ฟาร์เรลที่แสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้าอย่างไม่ปิดบัง ยิ่งเมื่อหนังจบโดยให้ปโตเลมีสรุปแบบน่าเคลือบแคลงก็ยิ่งไม่ต้องสงสัยถึงสิ่งที่เขาต้องการนำเสนอ
มันคงจะดีกว่านี้หากนี่ไม่ใช่เรื่องของกษัตริย์ที่ได้ชื่อว่ามหาราชแห่งยุคอารยธรรมกรีก แต่เป็นเรื่องราวของคนในอเมริกาอย่างที่สโตนถนัด ที่สุดแล้วการทำหนังโดยนำข้อมูลสารพัดเพื่อบ่งบอกด้านลบของบุคคลที่ได้รับการยกย่องมายาวนาน โดยปราศจากข้อบ่งชี้ เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ารื่นรมย์อะไรนัก การสร้างคำถามแต่กลับไม่เปิดโอกาสให้ตีความพระองค์ในทางอื่นอย่างที่ควรจะเป็นกับหนังประวัติศาสตร์ก็แสดงให้เห็นชัดเจนในความแข็งกร้าวเกินความจำเป็น
Alexander ฉบับนี้ จึงกลายเป็นสนามรบทั้งภายนอกและในจิตใจ แบบที่สโตนเคยทำกับ Platoon, Wallstreet หรือแม้แต่ Any Given Sunday ไม่มีภาพของกษัตริย์ในอุดมคติ แต่เป็นปุถุชนที่มี่ดีและเลวขัดแย้งในตัว เพียงแต่เขาถนัดในการนำเสนออย่างหลังมากกว่า Alexander เลยกลายเป็นหนังอย่างที่เราเห็น และน่าจะให้บทเรียนราคาแพงแก่โอลิเวอร์ สโตนได้บ้างในการรับหนังมาทำสักเรื่อง
--------------------
5/10
ผู้กำกับ : โอลิเวอร์ สโตน
บทภาพยนตร์ : โอลิเวอร์ สโตน, คริสโตเฟอร์ ไคลย์, เลต้า คาโลกริดิส
นำแสดง : โคลิน ฟาร์เรล,แองเจลิน่า โจลี่, แอนโธนี่ ฮอพกินส์, วาล คิลเมอร์
กำกับภาพ : โรดริโก้ ปริเอโต้
ดนตรีประกอบ : แวงเจลลิส
โอลิเวอร์ สโตน เป็นนักทำหนังที่โดดเด่นในช่วงกลางยุค 80s รางวัลออสการ์ในสาขาผู้กำกับถึง 2 ตัวย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จ การยอมรับ และฝีมือของสโตนอย่างไม่ต้องสงสัย นับตั้งแต่ Salvador ในปี 1986 ซึ่งถือเป็นหนังเรื่องแรกที่สโตนได้มีโอกาสแสดงตัวตนมากขึ้น งานของเขาจับต้องได้ถึงเอกลักษณ์ในการนำเสนอโลกของผู้ชาย ภาวะ และมุมมองที่ข้องเกี่ยวกับสังคมที่เพศชายเป็นใหญ่ ถูกนำเสนอด้วยการแข่งขัน การปะทะทางคำพูดและร่างกาย ความรุนแรง และพลังทางอารมณ์เกรี้ยวกราด แม้ในงานที่ตลาดที่สุดอย่าง Any Given Sunday
แต่จุดแข็งก้ถือเป็นดาบสองคมหลังความสำเร็จจาก JFK เป็นต้นมา หนังของเขาได้รับความนิยมน้อยลงทุกที ด้วยมุมมองทางสังคมที่พ้นกระแส จุดอ่อนในการนำเสนอเรื่องที่นุ่มนวล และละเอียดอ่อน ซึ่งต้องยอมรับว่าหนังของสโตนมีน้อยเหลือเกิน รวมไปถึงงานล่าสุดอย่าง Alexander
เรื่องราวของอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์แห่งมาซีโดเนีย(356-323 ก่อนคริสตกาล) ที่ทำให้อารยธรรมกรีกแผ่ขยายไปได้ไกลที่สุดจากอียิปต์ ไปจนถึงแคว้นแบคเทรียของอินเดีย สิ่งที่พระองค์ได้รับการยกย่องอย่างมากเพราะว่าไม่ใช่แค่การรบตีเมือง แต่เป็นการนำอารยธรรมกรีกไปพัฒนาเมืองเหล่านั้นให้เจริญยิ่งขึ้น แม้จะสิ้นพระชนม์ด้วยวัย 33 พรรษา แต่ประวัติศาสตร์ในอดีตที่คลุมเครือ และชีวิตของคนผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งนั้นก็มีเรื่องราวที่สามารถบอกเล่าได้ไม่จบสิ้น
โอลิเวอร์ สโตน เล่าอเล็กซานเดอร์มหาราช(โคลิน ฟาเรล) ครอบคลุมตั้งแต่ประสูติไปจนสวรรคต โดยปโตเลมี( แอนโธนี่ ฮอพกินส์) ปราชญ์และนักรบซึ่งได้ปกครองอียิปต์หลังจากอเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ ขับเน้นปมความขัดแย้งระหว่างพระบิดา พระเจ้าฟิลิปที่ 2 (วาล คิมเมอร์)และพระมารดา พระนางโอลิมเปียส(แองเจลิน่า โจลี่) ชีวิตวัยเยาว์ ม้าศึกคู่ใจ ความขัดแย้งกับพระบิดา การออกรบเพื่อไขว่คว้าชีวิตที่เป็นอิสระ เหตุการณ์ตามบันทึกประวัติศาสตร์ในการยกทัพตีดินแดงต่างๆ โดยเฉพาะแถบเปอร์เซียและอินเดีย การอภิเษกกับเจ้าหญิงแห่งแคว้นแบคเทรีย ประเด็นเรื่องการเป็นเกย์ของอเล็กซานเดอร์ที่มีความสัมพันธ์กับสหายคนสนิทอย่างเฮฟฟาอีสเทียน(จาเร็ต เลโต้) ชัยชนะในสงคราม ความขัดแย้งของเหล่าทหารที่มากขึ้น ไปจนถึงเหตุแห่งการสิ้นพระชนม์ รวมความเบ็ดเสร็จแล้วทำให้หนังยาวเกือบ 3 ชั่วโมง

ไม่เคยมีใครยืนยันว่าวิธีการนำเสนอบันทึกทางประวัติศาสตร์แบบไหนจะดีที่สุด แต่การนำเสนอทั้งหมดแบบใน Alexander ของสโตน ก็ไม่ต่างจากบทภาพยนตร์ดัดแปลงส่วนใหญ่ที่นำเอาวรรณกรรมมาถ่ายทอดโดยไม่พยายามลดหรือตัดรายละเอียดออกไป และถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ความขาดอรรถรสแบบภาพยนตร์ ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการเล่าเรื่อง แต่หวังผลในการสร้างอารมณ์ร่วม และนั่นทำให้ Alexander กลายเป็นหนังประวัติศาสตร์-มหากาพย์ที่ค่อนข้างจืดชืด เพราะรายละเอียดที่มุ่งตรงมายังตัวละครเพียงคนเดียวในหนัง ทำให้ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกที่อเล็กซานเดอร์มีต่อตัวละครอี่นได้อย่างลึกซึ้ง ยิ่งรวมกับจุดอ่อนของสโตนที่แม้หนังจะโดดเด่นในฉากการต่อสู้ และปะทะอารมณ์ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้หนังดูได้ต่อเนื่อง แต่กลับพลาดท่าในฉากรักซึ่งทำได้อย่างประดักประเดิก เนื่องจากหนังให้เวลาในการทำความเข้าใจประเด็นเกย์ของยุคกรีกน้อยมาก แต่กลับเน้นฉากแสดงความรักบ่อยครั้งเกิน โดยแทบไม่ได้ส่งผลต่อสาระของหนังสักเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เวลา 3 ชั่วโมงดูยืดเยื้อยาวนานกว่าปรกติ โดยเฉพาะช่วงต้นๆ ที่ถูกเล่าเรื่องทื่อตรงจนแทบจะเป็นการลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์โดยไม่จำเป็น ส่งผลให้ไคลแม็กซ์ช่วงท้ายมาถึงช้าเกินความจำเป็น
สาระของหนังว่าด้วยการปลดปล่อยชีวิตของตนเป็นอิสระ ตามถ้อยคำที่อเล็กซานเดอร์ดำรัสออกมา “ท้ายที่สุด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำ” รวมไปถึงการเน้นย้ำในหลายครั้งอาทิ สัญลักษณ์นกอินทรีย์, การสู้รบที่ยาวนานไม่ยอมสิ้นสุด, การปล่อยดินแดนที่ยึดครองให้ปกครองตนเอง, และฉากวัยเยาว์ที่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการสู้กับเฮฟฟาอีสเทียนแต่รวมแล้วก็ไม่หนักแน่นเพียงพอ เนื่องจากมันถูกบดบังด้วยเรื่องอื่นๆ แทบจะตลอดเวลา
หลายๆส่วนในหนังยิ่งทำให้เกิดความเคลือบแคลงและสร้างอุปสรรคให้กับคุณภาพของหนังที่ลักลั่น ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงอย่าง จาเร็ต เลโต้ ที่หน้าสวยจนไม่น่าจะสู้รบกับใคร, ฟรานซิส บอช ที่อ้อนแอ้นราวกับผู้หญิงทำให้เรื่องเกย์ในหนังโดดออกมาอย่างง่ายๆ, โรเบิร์ต เออร์ลี่ย ที่รับบท ปโตเลมีวัยหนุ่ม แต่กลับไม่ทำให้เรารู้สึกร่วมไปได้ว่าเขาคือผู้เล่าเรื่องแทรกเข้ามาตลอดเลย หรือแม้แต่แอนโธนี่ ฮอพกินส์ ที่เหมือนถูกแกล้งให้มาเล่าเรื่องเพื่อเขียนบันทึกโดยไม่ได้ช่วยอะไรให้กับเรื่องราวไม่ว่าในทางเร่งเร้าหรือพักอารมณ์ งานออกแบบที่อยู่ในระดับดีแต่กลับไม่สามารถสร้างความแปลกใหม่ใดๆ ให้กับหนังทุนสูงขนาดนี้ สิ่งที่พอจะน่าชื่นชมอยู่สักหน่อยเห็นจะเป็นการกำกับภาพของ โรดริโก้ ปริเอโต้ ซึ่งแม้จะไม่สามารถให้ภาพที่สวยงามได้ในฉากธรรมชาติอันหลากหลาย แต่ก็สร้างอารมณ์แฟนตาซีในช่วงไคลแม็กซ์ได้อย่างน่าประทับใจ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยังคงโดดเด่นในงานของเขาเสมอก็คือ การตั้งคำถามวิพากษ์สังคมโดยไม่ต้องเกรงกลัวใครที่ไหน ใน Platoon ลำพังดูเหมือนจะเป็นบทสรุปของสงครามเวียดนามได้อย่างครบถ้วน แต่เอาเข้าจริงสโตนก็ยังเดินหน้าทำ Born of The Fourth July และ Heaven and Earth จนมันกลายเป็นไตรภาคที่ทั้งสรุปและเป็นเชิงหยั่งคำถามถึงเหตุการณ์ดังกล่าวโดยไม่ลดละ, การสร้างคำถามกับเรื่องของผู้นำประเทศใน JFK, และ Nixon บทวิพากษ์สื่อมวลชนระดับเต็มเหนี่ยวใน Natural Born Killer หรือแม้แต่ U-Turn หนังฟิล์มนัวร์ ที่เขายังให้เราเห็นการตั้งคำถามต่อทางเลือกในชีวิตของตัวเอกอยู่หลายตอน
ใน Alexander สโตนยังคงตั้งคำถามกับมหาราชพระองค์นี้อย่างที่เขาอยากนำเสนอ เขานำเรื่องราวต่างๆมานำเสนอในประเด็นความขัดแย้งที่มีผลต่อพฤติกรรมของอเล็กซานเดอร์ขมวดทั้งหมดในช่วงท้าย ส่งผลให้เกิดฉากบีบคั้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ปมฆ่าพ่อจากเหตุการณ์ฝังใจที่ไม่อาจช่วยพระบิดาในการลอบปลงพระชนม์ได้ ความขัดแย้งกับพระมารดาที่เกลียดชังพระสวามี ความรักระหว่างหญิงและชาย ความฝังใจในเรื่องเทพปกรณัม ทบทวีไปกับความขัดแย้งของบรรดาทหารที่ถูกโทสะและความสับสนของพระองค์ การใช้เรื่องของเทพต่างๆ มาปะปน พฤติกรรมประหลาดของพระนางโอลิมเปียสในตอนต้น ไม่สูญหายเมื่อฉากในช่วงท้ายแสดงให้เห็นความสับสนของคนผู้แบกรับหลายสิ่งในชีวิตในโทนแฟนตาซีได้อย่างสมฝีมือ และคงไม่มีใครกล้านำเอาเรื่องดังกล่าวมาใส่ไว้ทั้งหมดลุ่นๆ แบบสโตนอีกแล้ว
สโตนสร้างคำถามสำคัญกับเรื่อง เขาทำให้เรามองอเล็กซานเดอร์เป็นผู้ที่จมอยู่กับความทุกข์ ท่ามกลางความขัดแย้งในชีวิตระดับมหาศาล ทั้งครอบครัว,สังคม,ความรัก,การต่อสู้ หรือรสนิยทางเพศ หลายต่อหลายครั้งที่การรบหนังปล่อยให้เราเห็นความพ่ายแพ้มากกว่าชัยชนะที่สมบูรณ์ ทำให้เกิดคำถามต่อสาระการค้นหาชีวิตที่อิสระของอเล็กซานเดอร์ การแสดงของโคลิน ฟาร์เรลที่แสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้าอย่างไม่ปิดบัง ยิ่งเมื่อหนังจบโดยให้ปโตเลมีสรุปแบบน่าเคลือบแคลงก็ยิ่งไม่ต้องสงสัยถึงสิ่งที่เขาต้องการนำเสนอ
มันคงจะดีกว่านี้หากนี่ไม่ใช่เรื่องของกษัตริย์ที่ได้ชื่อว่ามหาราชแห่งยุคอารยธรรมกรีก แต่เป็นเรื่องราวของคนในอเมริกาอย่างที่สโตนถนัด ที่สุดแล้วการทำหนังโดยนำข้อมูลสารพัดเพื่อบ่งบอกด้านลบของบุคคลที่ได้รับการยกย่องมายาวนาน โดยปราศจากข้อบ่งชี้ เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ารื่นรมย์อะไรนัก การสร้างคำถามแต่กลับไม่เปิดโอกาสให้ตีความพระองค์ในทางอื่นอย่างที่ควรจะเป็นกับหนังประวัติศาสตร์ก็แสดงให้เห็นชัดเจนในความแข็งกร้าวเกินความจำเป็น
Alexander ฉบับนี้ จึงกลายเป็นสนามรบทั้งภายนอกและในจิตใจ แบบที่สโตนเคยทำกับ Platoon, Wallstreet หรือแม้แต่ Any Given Sunday ไม่มีภาพของกษัตริย์ในอุดมคติ แต่เป็นปุถุชนที่มี่ดีและเลวขัดแย้งในตัว เพียงแต่เขาถนัดในการนำเสนออย่างหลังมากกว่า Alexander เลยกลายเป็นหนังอย่างที่เราเห็น และน่าจะให้บทเรียนราคาแพงแก่โอลิเวอร์ สโตนได้บ้างในการรับหนังมาทำสักเรื่อง
--------------------
0 Comments:
Post a Comment
Subscribe to Post Comments [Atom]
<< Home