Vampire Hunter D : Bloodlust ตรงกลางของนักล่าและผู้ถูกล่า
Vampire Hunter D : Bloodlust ตรงกลางของนักล่าและผู้ถูกล่า
6/10
อำนวยการสร้าง : มาซาโอะ มารุยาม่า, ทากะ นางาซาวะ
ผู้กำกับ : โยชิอากิ คามาจิริ, ปีเตอร์ มัก(กำกับร่วม)
บทภาพยนตร์ : โยชิอากิ คามาจิริ จากบทประพันธ์ของ ฮิเดยูกิ คิคูจิ
แผนกศิลป์ : โยชิทากะ อามาโนะ, ปีเตอร์ โช

โลกของการ์ตูนญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นมังงะ หรืออนิเมะนั้นเป็นโลกที่ร่วมกันสร้างเอกลักษณ์ในผลงานอย่างไม่ปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นลายเส้น เนื้อหา การออกแบบตัวละครและฉากในเรื่อง ต่างสร้างความโดดเด่น แตกต่างจากการ์ตูนทางฝั่งตะวันตก และกลายเป็นอิทธิพลที่แผ่ขยายขึ้นเรื่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่ในอเมริกา
Vampire Hunter D : Bloodlust เองนั้นแม้จะไม่มีเนื้อหาที่คาบเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น ไม่มีตัวละครใดเป็นชาติอาทิตย์อุทัยแม้แต่น้อย แต่เราก็เห็นได้ชัดว่ามันคือการ์ตูนของประเทศนี้อย่างไม่ต้องสงสัย มิหนำซ้ำยังแสดงให้เห็นอิทธิพลของวัฒนธรรมในญี่ปุ่นที่สร้างเอกลักษณ์จากสิ่งอื่นได้อย่างชัดเจน ตัวหนังดัดแปลงจากนิยายยอดนิยมของ ฮิเดยูกิ คิคูจิ จากลายเส้นอันมีเอกลักษณ์สวยงาม ของ โยชิทากะ อามาโนะ จึงได้ถูกติดต่อเพื่อนำมาสร้างกลายมาเป็นภาพยนตร์การ์ตูนมาแล้วในปี 1985 จากการกำกับของ โทยู อาชิดะ ก่อนที่จะถูกนำมาสร้างอีกครั้งหลังจากได้รับความนิยมในแวดวงวิดีโอ และถูกสร้างอีกครั้งในปี 2000 โดย โยชิอากิ คามาจิริ(Animatrix ตอน โปรแกรม, Hell City Shinjuku) และ ปีเตอร์ มัก(Wicked City, All Night Long)
D หรือ ดันพีล นักล่าแวมไพร์ในยุคอนาคตที่ไม่ได้ระบุเวลา มนุษย์ตกอยู่ในฐานะผู้ล่าจากเหล่าแวมไพร์ ความแตกต่างของ D ก็คือเขาเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งแวมไพร์ ที่มีพ่อเป็นเจ้าแห่งผีดูดเลือดทั้งมวล งานล่าสุดเป็นการว่าจ้างเพื่อช่วย ชาร์ล็อตต์ ลูกสาวมหาเศรษฐีที่ถูกแวมไพร์ไมเออร์ ลิงค์ จับตัวไป ขณะเดียวกันเขาก็ต้องแข่งกับพี่น้องมาร์คัส กลุ่มนักฆ่าแวมไพร์ฝีมือดีที่ถูกว่าจ้างมาด้วยเช่นกัน

หนังแสดงให้เห็นฝีมือของแต่ละฝ่าย D เป็นนักล่าที่คงเอกลักษณ์ของความโดดเดี่ยว เย็นชา เงียบขรึมภายใต้ชุดสีดำทั้งร่าง มีม้าคู่ใจกับปีศาจช่างพูดที่มือด้านซ้าย มีนิสัยตรงข้ามกับเจ้าของร่างด้วยความช่างพูด คอยโต้แย้งกับ D ตลอดเวลา ต่อสู้ด้วยเวทย์มนต์ร เพลงดาบ และฝีมือติดตัว ส่วนพี่น้องมาร์คัสเป็นเหล่านักล่าที่มารวมกลุ่มกันแต่ละคนต่างมีอาวุธไฮเทคผสมไสยเวทย์กันคนละแบบ หนึ่งในนั้นคือไลล่า หญิงสาวเพียงคนเดียวของกลุ่มที่ได้รู้จักกับ D จากคราวที่บาดเจ็บระหว่างออกตามล่าไมเออร์ เธอได้เริ่มพูดคุยกับเขาและเริ่มเปิดเผยอดีตและสานมิตรภาพแก่กันโดยไม่รู้ตัว
การตามล่ามีอุปสรรคขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ D และเหล่าพี่น้องมาร์คัสต้องโดนโจมตีโดยครึ่งคนครึ่งสัตว์ ที่เรียกกลุ่มตนเองว่าบาบารอยด์ อันเป็นกลุ่มที่สวามิภักดิ์ต่อไมเออร์ ความสามารถของบาบารอยด์ ทำให้นักล่าต่างตระหนักเช่นเดียวกับ D รู้ในตอนต้นแล้วว่านี่ไม่ใช่งานล่าแวมไพร์ง่ายๆ ที่พวกเขาคุ้นเคยอีกต่อไป
ในขณะที่โลกที่ปรากฎแม้จะเป็นโลกอนาคต มีอุปกรณ์ไฮเทคมากมาย หากก็ไม่ได้มีความสวยงามแต่อย่างใด หนังให้ภาพเปรียบความเลวร้ายด้วยอาคารในแบบโกธิค อันบ่งบอกถึงยุคมืดในอดีต สภาพบ้านเรือนที่ปรักหักพัง และหลายแห่งที่อากาศแห้งแล้ง ผืนดินเป็นทะเลทรายเวิ้งว้างไม่สิ้นสุด มนุษย์ไม่เป็นผู้ถูกล่าจากแวมไพร์ ก็ต้องกลายเป็นผู้ล่า สภาพชีวิตก็โหดร้ายไม่ต่างกัน เพราะผีดูดเลือดที่นักล่าเหล่านี้สังหารต่างก็เคยเป็นมนุษย์ทั้งนั้น โดยชี้ให้เห็นตั้งแต่เปิดเรื่องว่าไม่มีใครไว้ใจใครได้ แม้แต่มนุษย์ด้วยกัน D ถูกจ้างแต่ก็ไม่มีใครวางใจเขา
สิ่งเดียวที่ยังหล่อเลี้ยงชีวิตให้คงอยู่คือความรัก แม้ในเรื่องจะเป็นความรักที่ไม่ปรกตินัก แต่มันก็คือรักโดยไม่อาจปฏิเสธ ดังเช่นที่ชาร์ล็อตต์หญิงสาวที่ถูกลักพาตัวด้วยความเต็มใจ เพราะหลงรักแวมไพร์โดยบริสุทธิ์ แม้จะยังไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าเธอถูกล่อลวงด้วยความรักหรือเปล่า พ่อผู้ห่วงใยลูกสาวและยอมว่าจ้างการติดตามพาเธอคืนกลับมาด้วยค่าจ้างอันมหาศาล แม้อาจจะต้องเป็นเพียงร่างที่ไร้ลมหายใจก็ยินยอม หรือกรณีของ D กับ ไลล่า ที่ไม่ได้แสดงออกในทางชู้สาว แต่พวกเขาต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีสัญญาทางใจต่อกันที่ต่างคนไม่อาจลืมกันได้ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้อาจไม่ใช่หนทางที่เด่นชัด แต่ความรักที่เพื่อนมนุษย์มีให้กันไม่ว่าในลักษณะไหนก็งดงาม และต่อเวลาโลกมนุษย์ที่แห้งแล้งนั้นให้ชุ่มชื้นไปได้อีกนาน
งานของ ฮิเดยูกิ คิคูจิ แม้จะนำเรื่องราวแวมไพร์อันมีที่มาจากตำนานในยุโรป แต่ก็ดัดแปลงให้มันกลายเป็นเรื่องแนวไซไฟ-ทริลเลอร์ ด้วยการผสมผสานเรื่องสมัยเก่าและยุคอนาคตเข้าด้วยกันจนกลายเป็นโลกเฉพาะ เพิ่มเติมในส่วนหนทางการอยู่รอดของมนุษยชาติด้วยความรักเข้าไว้อย่างพอดิบพอดีเหมือนเช่นผลงานที่บ้านเราพอจะผ่านตาอยู่บ้างในรูปแบบมังงะ เรื่อง Hell City Shinjuku (นักล่าสุดขอบนรก) ซึ่งก็เป็นแนวไซไฟ-ทริลเลอร์ ที่มีเรื่องของผีดูดเลือด และการอยู่รอดด้วยความรักเช่นกัน
ขณะที่งานภาพของโยชิอากะ อามาโนะและทีมงานสร้างกลุ่มสตูดิโอ แม้ดเฮ้าส์ ซึ่งมีการผสมผสานบางส่วนด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิค สวยงามในความรุนแรง และมากด้วยสร้างสรรค์ แม้ใครที่เคยผ่านตาอนิเมะ หรืองานอนิเมชั่นของญี่ปุ่นมานับไม่ถ้วน อาจจะรู้สึกธรรมดากับไอเดียต่างๆ ที่หนังมีก็ตามจากลักษณะคล้ายคลึงที่เห็นจนชิน แต่ในตอนท้ายฉากสำคัญของเรื่องในปราสาทของแวมไพร์ไมเออร์ หนังก็ไปไกลถึงขั้นนำเสนอภาพวิจิตรราวกับงานศิลปะประกอบดนตรี ไปพร้อมๆ กับการเล่าเรื่องที่สื่ออารมณ์งดงามและน่าสยดสยองไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจัดเป็นความดีเด่นของงานภาพชนิดไม่อาจปฏิเสธได้
น่าเสียดายที่ Vampire Hunter D : Bloodlust ไม่ได้แสดงภาพที่ความขัดแย้งในสถานะผู้ล่าและผู้ถูกล่าของมนุษย์และแวมไพร์นัก แต่ละคนต่างห้ำหั่นกันตลอดเวลากลายเป็นแอ๊คชั่นต่อเนื่องยาวนานเกินพอดี ที่แม้หลายครั้งจะน่าตื่นตาในความคิดสร้างสรรค์ และสร้างความตื่นเต้นชนิดทัดเทียมกับภาพยนตร์ใช้คนเล่น แต่มันก็เป็นคมอีกด้านลดบทบาทการเล่าเรื่องอื่นๆ ทำลายสาระของเรื่องให้ดูเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ไปอย่างน่าเสียดาย ยิ่งกับหนังการ์ตูนญี่ปุ่นและเรื่องนี้ที่มักสร้างตัวละครบุคลิกเด่นๆ ออกมาอยู่ไม่ขาด ทำให้แต่ละคนถูกแบ่งบทบาทในแต่ละตอน จนเรื่องราวหลักๆ ระหว่าง D และไลล่า หรือ ชาร์ลอตต์ กับไมเออร์ มีปริมาณน้อยจนคนดูไม่อาจมีความรู้สึกร่วมอย่างแท้จริง
ส่วนที่ยังคงเสน่ห์อยู่ได้ นอกจากช่วงท้ายเรื่องที่เข้มข้น บุคลิกของตัวเอกอย่าง D ซึ่งสร้างสรรค์มาอย่างดีโดย คิคูจิ และอามาโนะนั้น ให้ท่าทางที่ดูเย็นชา ปิดบังนั้น เราสามารถสัมผัสถึงหัวใจอันละเอียดอ่อน ซึ่งต้องผ่านเรื่องราวความเจ็บปวดได้ การบอกเล่าอดีตที่มาโดยเปิดช่องว่างให้เราตีความ และทำให้ภารกิจ การผจญภัยของเขาในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้กับปีศาจ แต่เป็นการต่อสู้กับตัวเขาเองอีกด้วย
--------------------
6/10
อำนวยการสร้าง : มาซาโอะ มารุยาม่า, ทากะ นางาซาวะ
ผู้กำกับ : โยชิอากิ คามาจิริ, ปีเตอร์ มัก(กำกับร่วม)
บทภาพยนตร์ : โยชิอากิ คามาจิริ จากบทประพันธ์ของ ฮิเดยูกิ คิคูจิ
แผนกศิลป์ : โยชิทากะ อามาโนะ, ปีเตอร์ โช

โลกของการ์ตูนญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นมังงะ หรืออนิเมะนั้นเป็นโลกที่ร่วมกันสร้างเอกลักษณ์ในผลงานอย่างไม่ปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นลายเส้น เนื้อหา การออกแบบตัวละครและฉากในเรื่อง ต่างสร้างความโดดเด่น แตกต่างจากการ์ตูนทางฝั่งตะวันตก และกลายเป็นอิทธิพลที่แผ่ขยายขึ้นเรื่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่ในอเมริกา
Vampire Hunter D : Bloodlust เองนั้นแม้จะไม่มีเนื้อหาที่คาบเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น ไม่มีตัวละครใดเป็นชาติอาทิตย์อุทัยแม้แต่น้อย แต่เราก็เห็นได้ชัดว่ามันคือการ์ตูนของประเทศนี้อย่างไม่ต้องสงสัย มิหนำซ้ำยังแสดงให้เห็นอิทธิพลของวัฒนธรรมในญี่ปุ่นที่สร้างเอกลักษณ์จากสิ่งอื่นได้อย่างชัดเจน ตัวหนังดัดแปลงจากนิยายยอดนิยมของ ฮิเดยูกิ คิคูจิ จากลายเส้นอันมีเอกลักษณ์สวยงาม ของ โยชิทากะ อามาโนะ จึงได้ถูกติดต่อเพื่อนำมาสร้างกลายมาเป็นภาพยนตร์การ์ตูนมาแล้วในปี 1985 จากการกำกับของ โทยู อาชิดะ ก่อนที่จะถูกนำมาสร้างอีกครั้งหลังจากได้รับความนิยมในแวดวงวิดีโอ และถูกสร้างอีกครั้งในปี 2000 โดย โยชิอากิ คามาจิริ(Animatrix ตอน โปรแกรม, Hell City Shinjuku) และ ปีเตอร์ มัก(Wicked City, All Night Long)
D หรือ ดันพีล นักล่าแวมไพร์ในยุคอนาคตที่ไม่ได้ระบุเวลา มนุษย์ตกอยู่ในฐานะผู้ล่าจากเหล่าแวมไพร์ ความแตกต่างของ D ก็คือเขาเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งแวมไพร์ ที่มีพ่อเป็นเจ้าแห่งผีดูดเลือดทั้งมวล งานล่าสุดเป็นการว่าจ้างเพื่อช่วย ชาร์ล็อตต์ ลูกสาวมหาเศรษฐีที่ถูกแวมไพร์ไมเออร์ ลิงค์ จับตัวไป ขณะเดียวกันเขาก็ต้องแข่งกับพี่น้องมาร์คัส กลุ่มนักฆ่าแวมไพร์ฝีมือดีที่ถูกว่าจ้างมาด้วยเช่นกัน

หนังแสดงให้เห็นฝีมือของแต่ละฝ่าย D เป็นนักล่าที่คงเอกลักษณ์ของความโดดเดี่ยว เย็นชา เงียบขรึมภายใต้ชุดสีดำทั้งร่าง มีม้าคู่ใจกับปีศาจช่างพูดที่มือด้านซ้าย มีนิสัยตรงข้ามกับเจ้าของร่างด้วยความช่างพูด คอยโต้แย้งกับ D ตลอดเวลา ต่อสู้ด้วยเวทย์มนต์ร เพลงดาบ และฝีมือติดตัว ส่วนพี่น้องมาร์คัสเป็นเหล่านักล่าที่มารวมกลุ่มกันแต่ละคนต่างมีอาวุธไฮเทคผสมไสยเวทย์กันคนละแบบ หนึ่งในนั้นคือไลล่า หญิงสาวเพียงคนเดียวของกลุ่มที่ได้รู้จักกับ D จากคราวที่บาดเจ็บระหว่างออกตามล่าไมเออร์ เธอได้เริ่มพูดคุยกับเขาและเริ่มเปิดเผยอดีตและสานมิตรภาพแก่กันโดยไม่รู้ตัว
การตามล่ามีอุปสรรคขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ D และเหล่าพี่น้องมาร์คัสต้องโดนโจมตีโดยครึ่งคนครึ่งสัตว์ ที่เรียกกลุ่มตนเองว่าบาบารอยด์ อันเป็นกลุ่มที่สวามิภักดิ์ต่อไมเออร์ ความสามารถของบาบารอยด์ ทำให้นักล่าต่างตระหนักเช่นเดียวกับ D รู้ในตอนต้นแล้วว่านี่ไม่ใช่งานล่าแวมไพร์ง่ายๆ ที่พวกเขาคุ้นเคยอีกต่อไป
ในขณะที่โลกที่ปรากฎแม้จะเป็นโลกอนาคต มีอุปกรณ์ไฮเทคมากมาย หากก็ไม่ได้มีความสวยงามแต่อย่างใด หนังให้ภาพเปรียบความเลวร้ายด้วยอาคารในแบบโกธิค อันบ่งบอกถึงยุคมืดในอดีต สภาพบ้านเรือนที่ปรักหักพัง และหลายแห่งที่อากาศแห้งแล้ง ผืนดินเป็นทะเลทรายเวิ้งว้างไม่สิ้นสุด มนุษย์ไม่เป็นผู้ถูกล่าจากแวมไพร์ ก็ต้องกลายเป็นผู้ล่า สภาพชีวิตก็โหดร้ายไม่ต่างกัน เพราะผีดูดเลือดที่นักล่าเหล่านี้สังหารต่างก็เคยเป็นมนุษย์ทั้งนั้น โดยชี้ให้เห็นตั้งแต่เปิดเรื่องว่าไม่มีใครไว้ใจใครได้ แม้แต่มนุษย์ด้วยกัน D ถูกจ้างแต่ก็ไม่มีใครวางใจเขา
สิ่งเดียวที่ยังหล่อเลี้ยงชีวิตให้คงอยู่คือความรัก แม้ในเรื่องจะเป็นความรักที่ไม่ปรกตินัก แต่มันก็คือรักโดยไม่อาจปฏิเสธ ดังเช่นที่ชาร์ล็อตต์หญิงสาวที่ถูกลักพาตัวด้วยความเต็มใจ เพราะหลงรักแวมไพร์โดยบริสุทธิ์ แม้จะยังไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าเธอถูกล่อลวงด้วยความรักหรือเปล่า พ่อผู้ห่วงใยลูกสาวและยอมว่าจ้างการติดตามพาเธอคืนกลับมาด้วยค่าจ้างอันมหาศาล แม้อาจจะต้องเป็นเพียงร่างที่ไร้ลมหายใจก็ยินยอม หรือกรณีของ D กับ ไลล่า ที่ไม่ได้แสดงออกในทางชู้สาว แต่พวกเขาต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีสัญญาทางใจต่อกันที่ต่างคนไม่อาจลืมกันได้ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้อาจไม่ใช่หนทางที่เด่นชัด แต่ความรักที่เพื่อนมนุษย์มีให้กันไม่ว่าในลักษณะไหนก็งดงาม และต่อเวลาโลกมนุษย์ที่แห้งแล้งนั้นให้ชุ่มชื้นไปได้อีกนาน
งานของ ฮิเดยูกิ คิคูจิ แม้จะนำเรื่องราวแวมไพร์อันมีที่มาจากตำนานในยุโรป แต่ก็ดัดแปลงให้มันกลายเป็นเรื่องแนวไซไฟ-ทริลเลอร์ ด้วยการผสมผสานเรื่องสมัยเก่าและยุคอนาคตเข้าด้วยกันจนกลายเป็นโลกเฉพาะ เพิ่มเติมในส่วนหนทางการอยู่รอดของมนุษยชาติด้วยความรักเข้าไว้อย่างพอดิบพอดีเหมือนเช่นผลงานที่บ้านเราพอจะผ่านตาอยู่บ้างในรูปแบบมังงะ เรื่อง Hell City Shinjuku (นักล่าสุดขอบนรก) ซึ่งก็เป็นแนวไซไฟ-ทริลเลอร์ ที่มีเรื่องของผีดูดเลือด และการอยู่รอดด้วยความรักเช่นกัน
ขณะที่งานภาพของโยชิอากะ อามาโนะและทีมงานสร้างกลุ่มสตูดิโอ แม้ดเฮ้าส์ ซึ่งมีการผสมผสานบางส่วนด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิค สวยงามในความรุนแรง และมากด้วยสร้างสรรค์ แม้ใครที่เคยผ่านตาอนิเมะ หรืองานอนิเมชั่นของญี่ปุ่นมานับไม่ถ้วน อาจจะรู้สึกธรรมดากับไอเดียต่างๆ ที่หนังมีก็ตามจากลักษณะคล้ายคลึงที่เห็นจนชิน แต่ในตอนท้ายฉากสำคัญของเรื่องในปราสาทของแวมไพร์ไมเออร์ หนังก็ไปไกลถึงขั้นนำเสนอภาพวิจิตรราวกับงานศิลปะประกอบดนตรี ไปพร้อมๆ กับการเล่าเรื่องที่สื่ออารมณ์งดงามและน่าสยดสยองไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจัดเป็นความดีเด่นของงานภาพชนิดไม่อาจปฏิเสธได้
น่าเสียดายที่ Vampire Hunter D : Bloodlust ไม่ได้แสดงภาพที่ความขัดแย้งในสถานะผู้ล่าและผู้ถูกล่าของมนุษย์และแวมไพร์นัก แต่ละคนต่างห้ำหั่นกันตลอดเวลากลายเป็นแอ๊คชั่นต่อเนื่องยาวนานเกินพอดี ที่แม้หลายครั้งจะน่าตื่นตาในความคิดสร้างสรรค์ และสร้างความตื่นเต้นชนิดทัดเทียมกับภาพยนตร์ใช้คนเล่น แต่มันก็เป็นคมอีกด้านลดบทบาทการเล่าเรื่องอื่นๆ ทำลายสาระของเรื่องให้ดูเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ไปอย่างน่าเสียดาย ยิ่งกับหนังการ์ตูนญี่ปุ่นและเรื่องนี้ที่มักสร้างตัวละครบุคลิกเด่นๆ ออกมาอยู่ไม่ขาด ทำให้แต่ละคนถูกแบ่งบทบาทในแต่ละตอน จนเรื่องราวหลักๆ ระหว่าง D และไลล่า หรือ ชาร์ลอตต์ กับไมเออร์ มีปริมาณน้อยจนคนดูไม่อาจมีความรู้สึกร่วมอย่างแท้จริง
ส่วนที่ยังคงเสน่ห์อยู่ได้ นอกจากช่วงท้ายเรื่องที่เข้มข้น บุคลิกของตัวเอกอย่าง D ซึ่งสร้างสรรค์มาอย่างดีโดย คิคูจิ และอามาโนะนั้น ให้ท่าทางที่ดูเย็นชา ปิดบังนั้น เราสามารถสัมผัสถึงหัวใจอันละเอียดอ่อน ซึ่งต้องผ่านเรื่องราวความเจ็บปวดได้ การบอกเล่าอดีตที่มาโดยเปิดช่องว่างให้เราตีความ และทำให้ภารกิจ การผจญภัยของเขาในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้กับปีศาจ แต่เป็นการต่อสู้กับตัวเขาเองอีกด้วย
--------------------
0 Comments:
Post a Comment
Subscribe to Post Comments [Atom]
<< Home