August 11, 2003

Last Life in The Universe(เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล): ความรักครั้งสุดท้าย(ที่ไม่ท้ายสุด)



Last Life in The Universe(เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล): ความรักครั้งสุดท้าย(ที่ไม่ท้ายสุด)



ยัติภังค์




อยู่ดีๆ ผมก็ไม่อยากเขียนเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เอาดื้อๆ เช่นเดียวกับอีกหลายเรื่องตามโอกาสสะดวก และความอยากเขียนในฐานะมือสมัครเล่นที่อารมณ์มาเหนือหน้าที่





อารมณ์ที่ไม่อยากเขียน ปนเปไปกับเขียนไม่ออก และไม่รู้จะเขียนอะไร มักเกิดขึ้นบ่อยครั้งกับหนังประเภทที่เรียกกับง่ายๆ ว่าเน้นทำน้อยแต่ได้มาก เช่นเดียวกับตอนผมดู In The Bedroom, Blissfully Yours, A One And A Two และกับหนังเรื่องนี้ มันมีสิ่งที่เราสัมผัสได้ และซ่อนความลึกซึ้ง แต่มันก็ค้นหายากตามจังหวะที่เชื่องช้า และถ่ายทอดอย่างหลบเร้น เรียกง่ายๆ ผมเองก็กลัวอวดความโง่ออกมาเหมือนกัน



แล้วพลันวันหนึ่งคืนดี เหตุการณ์บางอย่างที่เราประสบมันก็เร่ง และกระตุ้นให้เราต้องเขียนมันให้เสร็จจนได้ ราวกับมันคือภาพซ้อนจากอดีต(De javu) ที่วิ่งเข้ามาชนหน้าจนชา



ผมทะเลาะกับหญิงสาวคนหนึ่งอย่างไม่มีเหตุผล เกิดการกระทำบางอย่างที่ผมไม่อยากทำขึ้นมาเฉยๆ มันช่างสับสน และไม่รู้จะหาคำอธิบายจากหนังสือที่เคยอ่านเล่มไหน ตอนนั้นผมขึ้นสะพานลอยและเหม่อมองไปบนท้องถนนอย่างไม่มีจุดหมายและแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดไม่ถูก คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ อดีตมากกว่าเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนจะคิดทำอะไรที่รุนแรงบานปลาย แล้วผมก็นึกถึงเคนจิ กับเรื่องรักน้อยนิดมหาศาล



เป็นเอก รัตนเรือง ทำหนังที่แตกต่างจากงานที่ผ่านมาก่อนเก่าของเขา เพราะมันแสดงออกแต่น้อยจนโดดกว่าเรื่องใดๆ เนื้อหาไม่ต้องมีคนนั้นคนนี้เดินวนเวียนแสดงความโดดเด่นทางบุคลิกเช่นเคย มันมีแค่เรื่องคนสองคนกับชีวิตที่เกี่ยวโยงกับอีกคนเสมือนเส้นด้ายแห่งชะตากรรม กระนั้นก็ใช้ว่าเขาจะทอดทิ้งลายเซ็นดั้งเดิมไปเสีย เรื่องรักน้อยนิดมหาศาลยังสอดแทรกมุขตลกร้ายเข้ามาบ่อยครั้ง เหตุการณ์ที่ตัวละครไปพัวพันกับโลกอาชญากรรม รวมไปถึงบุคลิกตัวประกอบที่โดดเด่นซึ่งคราวนี้เขานำนักแสดงเก่าๆ มาเล่นประกอบคล้ายคลึงกับบุคลิกจากเรื่องเดิมด้วย



เรื่องเริ่มจากเคนจิ (อาซ่าโน่ ทาดาโนบุ) พนักงานห้องสมุดญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในไทย เล่าถึงความรู้สึกหมกมุ่นอยากฆ่าตัวตายตลอดเวลาของเขา อาจจะด้วยการอ่านหนังสือจำนวนมากของเขา การมีพี่ชายและพวกพ้องที่เกี่ยวพันกับยากูซ่า วันหนึ่งชีวิตของเขาก็ได้โคจรไปพบกับนิด(ไลลา บุญยศักดิ์) หญิงสาวที่เขาสนใจมองจนเผลอเดินตามออกไป นิดเป็นน้องสาวของน้อย(สินิทรา บุญยศักดิ์) แม้เรื่องจะไม่ได้บอกเราชัดว่าพวกเธอประกอบอาชีพอะไรก็คาดเดาได้ไม่ยากนักจากการแต่งตัวและใช้ชีวิต ทั้งคู่ไม่ถูกกันบ่อยครั้ง และส่งผลให้นิดเสียชีวิตจากการทะเลาะกันครั้งสุดท้าย และเคนจิก็เข้ามาเกี่ยวพันเมื่อเป็นผู้ประสบเห็นเหตุการณ์ในขณะที่เขากำลังจะฆ่าตัวตายบนสะพาน



เคนจิเข้ามาขออยู่อาศัยกับน้อยหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเขาไปพัวพันกับการฆาตกรรมของพวกยากูซ่า เดิมทีการสื่อสารอันแสนลำบาก อัตตาของน้อยก็ทำให้สัมพันธภาพดำเนินไปไม่ราบรื่นนัก แต่ด้วยความเหงา ความโหยหาใครสักคนของกันและกัน ทำให้ในที่สุดทั้งคู่ก็มีความรู้สึกที่ดีต่อกันได้ แม้ช่วงเวลาที่กว่าจะรู้ตัวมันจะสายไป



ฟังดูเหมือนน้ำเน่า และซ้ำซาก แต่คุณคงไม่สามารถคาดหวังใดๆ ที่จำเจได้นักในงานชิ้นนี้ เนื่องจากหนังปล่อยเหตุการณ์นอกเหนือจากนั้นให้เราไปขบคิดกันเอาเองได้เต็มไปหมด



ส่วนหนึ่งนี่อาจเป็นเหตุการณ์ในฝันของเคนจิ เพราะหนังเริ่มเรื่องจากภาวะการหมกมุ่นของเขาเอง มีภาพฝันในมโนสำนึกของเขาจากความคิดฆ่าตัวตายให้เห็นบ่อยครั้ง ขณะเดียวกันตัวละครทั้งน้อย และนิดก็สลับเปลี่ยนกันระหว่างช่วงที่เขาผลอยหลับไป หนังยิ่งสนุกกว่านั้นในตอนท้ายเมื่อทั้งน้อยและนิดปรากฎให้เราเห็นราวกับไม่มีใครเป็นอะไร คล้ายกับนิดเป็นส่วนที่นำพาให้เคนจิมาพบกับน้อย สายสัมพันธ์ระหว่างสามคนจึงไม่อาจขาดจากกัน



อย่างไรก็ตามเมื่อเคนจิไปเกี่ยวข้องกับน้อย เราก็ได้เห็นความฝันของน้อยออกมาโลดแล่นให้เราสัมผัสอยู่บ่อย ไม่ว่าจะเป็นขณะที่เธอมึนเมาจนเห็นทุกสิ่งเป็นไปตามจินตนาการ หรือยามที่เธอสั่งเคนจิร่วมรักอย่างเย็นชา ภาพญี่ปุ่นในจินตนาการของเธอก็ออกมาทดแทนฉากวาบหวิวใดๆ ที่ขณะเวลานั้นเขาและเธอคงยังไม่รู้สึกลึกซึ้ง



มีเรื่องเล่าจากหนังสือนิทานในชื่อเดียวกับหนังเรื่องนี้ เกี่ยวกับจิ้งจกตัวหนึ่งทีคิดว่าตนมีชีวิตเพียงลำพังในจักรวาล ตัวผู้อ่านอย่างเคนจิเองอาจจะเปรียบเปรยเป็นตัวเขา หรืออีกทางมันย่อมหมายความถึงน้อยได้อีกคน ดั่งกับเรื่องนำหนังสือเล่มดังกล่าวเป็นตัวช่วยลำดับสองต่อจากนิด ที่ร้อยประสานเรื่องราวของทั้งคู่ให้ประสานกลมกลืนกันในที่สุด



ถึงผมจะบอกว่างานนี้เป็นเอกมาแปลกจากเคย แต่มันก็เป็นเหมือนเช่นที่เขาเคยว่าหนังของเขาเป็นจดหมายรักถึงกรุงเทพฯ ผมขอเสริมอีกว่ามันเป็นจดหมายรักถึงคนรักกันจริง เพราะมันถ่ายทอดและพรรณนาถึงคนที่ตนรักอย่างไม่ปิดบังหลบเร้น และเลือกใช้ภาษาที่สวยงาม เขาเคยเสนอเรื่องของครอบครัวที่ไม่เข้าใจกัน กับมือปืนลูกครึ่งที่มีความฝัน(ฝัน บ้า คาราโอเกะ), หญิงสาวต่างจังหวัดที่พัวพันกับเงินมหาศาล(เรื่องตลก 69), หนุ่มบ้านนอกที่อยากเป็นนักร้องจนต้องมาทนทุกข์ (มนต์รักทรานซิสเตอร์) ทุกคนล้วนเข้ามาวนเวียนในเมืองๆ นี้ไม่มากก็น้อย เช่นเดียวกับเคนจิ และน้อย คนหนึ่งเป็นคนญี่ปุ่นที่ไม่ต้องการมีชีวิตและวนเวียนแต่เรื่องในหัวของตน อีกคนเป็นหญิงสาวที่ไม่อยากอยู่เมืองๆ นี้ตั้งหน้าตั้งตาจะไปญี่ปุ่นให้ได้ ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าพวกเขาสิ้นหวังกับหนทางชีวิตที่เป็นอยู่ และแน่ยิ่งกว่านั้น…กับเมืองที่พวกเขาอยู่นั่นเอง



คริสโตเฟอร์ ดอยล์ ช่วยตอกย้ำอารมณ์ดังกล่าวด้วยการบันทึกภาพต่างๆ อย่างนุ่มนวล เนิบช้า ปล่อยให้เราเห็นหมาเน่านอนตาย, เรือหางยาวที่แล่นมาสาดน้ำเข้ามาผ่านฉากอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย, เศษขยะริมแม่น้ำที่เน่าเสีย รวมไปถึงสภาพบ้านที่เละเทะและสกปรกขาดการดูแลที่ไม่ต่างอะไรกับชีวิตน้อยเจ้าของบ้าน



เคนจิกับน้อยเป็นใครมาก่อน ไม่สำคัญเท่ากับว่าพวกเขาเป็นอย่างไรในปัจจุบัน น่าสนใจมากกว่าเคนจิทำไมถึงต้องอยากฆ่าตัวตายนักทั้งที่เขาไม่ได้อ่อนแอเลย และทำไมเขาแพ้ปลาดิบ ? น้อยล่ะทำไมเธออยากไปญี่ปุ่นนักทั้งที่มีความรู้ด้านภาษาจากเทปที่เปิดซ้ำๆ ทุกวันเท่านั้น, แล้วเธอจะประกอบอาชีพดั่งที่เราเห็นในหนังจริงหรือถ้าเธอได้ไปญี่ปุ่นจริงๆ หนังปล่อยช่องว่างและคำถามในระดับพอเพียงให้การตีความส่วนบุคคลจับจองนิวาสถานกันตามสะดวก



ทีแรกผมไม่ชอบความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ หงุดหงิดกับตัวประกอบคนเก่าๆ และฉากบางช่วงที่ไม่รู้สาเหตุในการเติมเข้ามาในเรื่องราว แต่นานเข้าก็รู้สึกว่ามันเป็นบรรยากาศรวมๆ ของเรื่องที่ไม่ได้มีความผิดอะไร นอกจากปล่อยให้เราซึมซับมันเข้าสู่ผิวหนังและจิตใจอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จากนั้นก็ไม่อยากพิพากษาอะไรด้วยอัตตาตัวเองอีก อะไรมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้นราวกับผมกลายเป็นเคนจิที่เข้าใจชีวิตขึ้นมาอีกขั้น เมื่อตอนที่เขาพบว่าไม่ได้มีชีวิตเดียวดายอีกต่อไป



และเมื่อเขาได้พบความรักอันคิดว่าเป็นของกำนัลชิ้นสุดท้าย ทุกสิ่งก็ไม่มีสิ่งสุดท้ายอีกต่อไปเพราะหลังจากมนุษย์เรารู้จักความรัก มันย่อมทำให้เรายังคงดื่มด่ำมันเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตต่อไปไม่รู้จบ

1 Comments:

Blogger GeeFz said...

ชอบ review นี้มากกค่ะ :3
กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้อยู่ค่ะ
ได้เจอบทความนี้ ก็ซึ้งกับหนังมากขึ้นเลยค่ะ :)

September 12, 2010 at 12:04 PM  

Post a Comment

Subscribe to Post Comments [Atom]

<< Home