Wimbledon : สองเราเท่ากัน
Wimbledon : สองเราเท่ากัน
5/10
กำกับ : ริชาร์ด ลองเครน
นักแสดง : พอล เบตตานี, เคริสเทน ดันสต์ , เบอร์นาร์ด ฮิลล์ , แซม นีล
ผู้เขียนบท : อดัม บรู้คส์, เจนนิเฟอร์ แฟรคเก็ตต์ และมาร์ค เลวิน

ปีเตอร์ โคลท์(พอล เบตตานี) นักเทนนิสมือวางอันดับที่ 119 เขาอยู่ในช่วงที่อ่อนล้าต่ออาชีพเหลือเกิน จากอดีตที่เคยไปถึงอันดับที่ 11 แต่ตอนนี้ฟอร์มกลับไม่เคยขึ้นสูงกว่านั้นเขาคิดว่าถึงคราวจะต้องแขวนแร็กเก็ตเสียแล้ว อย่างไรก็ดีในรอบคัดเลือกของวิมเบิลดันครั้งนี้ โคลท์ก็ฟันฝ่าจนผ่านมาเล่นในการแข่งขันชิงถ้วยรางวัลที่สำคัญที่สุดของอังกฤษ คิดเสียว่าต้องทำให้เต็มที่ในการแข่งขันครั้งสุดท้ายของตน ก่อนที่จะผันไปเป็นโค้ชให้กับคลับกีฬาที่ทาบทามมา ซึ่งจากสภาพที่เขาและคนดูสัมผัส ก็ไม่ได้มองเห็นอนาคตสักนิด
ผิดกับ ลิซซี่ แบรดบิวรี่(เคิร์สเทน ดันสต์) เธอคือนักเทนนิสอเมริกันสาวดาวรุ่ง ผู้เป็นตัวเก็งในการคว้าแชมป์วิมเบิลดันครั้งนี้ ขณะที่โคลท์เป็นนักเทนนิสผู้เงียบสมอันดับของตน เธอก็เป็นจอมหาเรื่องผู้ตัดสิน ขณะที่เขาไม่ได้คาดหวังชัยชนะอะไร ลิซซี่ก็แทบจะคาดคั้น มุ่งมั่นกับเกมส์ชนิดที่เรียกว่า “แพ้ไม่ได้”
แล้วพรหมลิขิตก็บันดาลชักพาให้ทั้งคู่บังเอิญมาเจอกันในระหว่างการเข้าพักเก็บตัวในโรงแรม แล้วก็ใช้เวลาไม่นานที่ทั้งคู่ตกร่องปล่องชิ้นกันด้วยความเต็มใจ ลิซซี่เคยชื่นชมฝีมือโคลท์ ขณะที่โคลท์ก็เหมือนมีกำลังใจในการแข่งมากกว่าเคย เรื่องราวดูเหมือนทำท่าว่าจะราบรื่น แต่เขาก็ต้องพบอุปสรรคทั้งเกมกีฬากับคูต่อสู้ในแต่ละแมตช์ที่หนักขึ้นเรื่อยๆ และเกมรักที่พ่อฝ่ายหญิง(แซม นีล)ไม่อยากให้ลูกของตนเสียความมุ่งมั่นไปกับเรื่องอื่นนอกจากการแข่งขัน
กราฟฟิคเปิดเรื่องในการขึ้นเครดิตคนละข้างสลับกันไปมาแสดงให้เห็นชัดว่า ปัญหาจริงๆ ที่หนังต้องการจะบ่งบอกกับเราก็คือการหาความสัมพันธ์ที่อยู่ระหว่างกึ่งกลางของคู่รัก แต่เอาเข้าจริงในฐานะที่ทั้งคู่เป็นนักกีฬาที่เล่นกีฬาที่ต้องมีการแบ่งข้างกันตลอด ทำให้ภาพของความสัมพันธ์ที่เคยสวยงามถูกบดบัง ไม่ว่าจะเป็นลิซซี่ที่อารมณ์เสียเมื่อรู้สึกโดนเอาเปรียบ ความต้องการแรงบันดาลใจที่เกินพอดีของโคลท์
หากใครที่เคยชมภาพยนตร์ของค่ายหนังอังกฤษอย่าง Working Title อย่าง Notting Hill, Bridget Jone ‘s Diary, Love Actually ซึ่งถนัดหนังรักโรแมนติค-คอเมดี้ เหลือเกิน เราก็จะได้พบฉากคลี่คลายในช่วงท้ายของ Wimbledon ในลักษณะเดียวกับ Notting Hill เมื่อปีเตอร์ โคลท์ กล้าเผยความรู้สึกออกมาให้ทุกคนได้รู้(หลายๆเหตุการณ์ใน Wimbledon เองก็ชวนให้นึกถึง Notting Hill ภาคนักเทนนิสไปได้เหมือนกัน) หนังทำฉากนี้ได้พอเหมาะ รวมไปถึงมุขตลกที่ใส่เข้ามาอย่างถูกจังหวะและไม่ทิ้งช่วง เสน่ห์ของนักแสดงระหว่าง เบตตานี และดันสท์ ถือว่าเป็นคู่ที่ทำปฏิกิรยาเคมีกันได้ลงตัวไม่น้อยหน้าใครเลยทีเดียว
สิ่งที่ทำให้ Wimbledon ไม่สนุกเท่าที่ควรคือการวางให้หนังเป็นทั้งหนังรักและหนังกีฬารวมกัน ดูเหมือนหนังจะเน้นสัดส่วนตรงกลางมากไปหน่อย หนังจึงมีทั้งฉากรักปนตลก กับฉากแข่งขันเทนนิสในปริมาณเท่าๆ กัน ความน่าเชื่อถือในความรักอันรวดเร็วของ ปีเตอร์ และลิซซี่ จึงขาดความน่าเชื่อถือไปพอสมควร ยิ่งในส่วนของการแข่งขัน หลายฉากต้องถือว่าเป็นความพยายามสร้างแมตช์ที่ดูตื่นตาตื่นใจเกินไปด้วยภาพที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ ทำให้เสน่ห์ของการแข่งขันลดลงตามไปด้วย
Working Title มักจะนำผู้กำกับเก่งๆ มาทำหน้าที่ในหนังรักที่มีไอเดียใหม่ๆ เสมอ อาทิ โรเจอร์ มิทเชล(Posession), พอล ไวทซ์(About a Boy), สตีเฟน เฟรียส์(High Fidelity) คราวของ Wimbledon เป็นของ ริชาร์ด ลองเครน เจ้าของผลงาน Richard III ที่ได้รับคำชมเมื่อตอนที่ออกฉาย น่าเสียดายที่ศักยภาพของลองเครนดูจะไม่สามารถสร้างความโดดเด่นให้หนังเรื่องนี้ ในระดับเดียวกับที่ Working Title ทำได้ในเรื่องอื่นๆ
ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากบทที่กลายเป็นสูตรสำเร็จหนังรักของค่ายนั่นเอง ตั้งแต่ความสำเร็จจาก Four Weddings and a Funeral(1994) หลังจากได้สร้างหนังรักคุณภาพที่มีความลงตัวมาหลายเรื่อง มาถึงตอนนี้ดูเหมือนจะมีสัญญาณเตือนให้กับทางค่ายแล้วว่าต้องหาทางออกใหม่ๆ กับหนังรักเสียที แม้ว่าเรื่องนี้จะเปลี่ยนจากมือเขียนบทหลักอย่าง ริชาร์ด เคอร์ติส ไปแล้วก็ตาม
ด้วยมาตรฐานทั่วไป Wimbledon ยังคงเป็นหนังรักดูสนุก แต่มันก็ไม่สามารถเป็นหนังรักที่ดีได้ เหมือนกับที่ไม่สามารถเป็นหนังกีฬาที่ดีได้เหมือนกัน
ถึงกระนั้นจุดเด่นที่น่าชื่นชมของหนังมีอยู่สองอย่าง ส่วนแรกคือการแสดงของเบตตานี และดันสต์ที่ปราศจากเครื่องสำอางตบแต่ง แต่พวกเขากลับมีเสน่ห์และดูดีได้ ด้วยบุคลิกและฝีมือการแสดงแท้ๆ ถือเป็นข้อพิสูจน์อันดีในการเห็นเบตตานีในบทนำ กับดันสต์ในบทที่ไม่ต้องหวือหวาอะไรนัก
อีกอย่างคือเรื่องครอบครัวของโคลท์ซึ่งใส่เข้ามาในเรื่อง หนังแสดงให้เห็นเป็นนัยว่ามีความห่างเหินกันอยู่ไม่น้อย แต่ไม่เปิดเผยแสดงออก สังเกตได้จากการที่พ่อแม่ของเขาแยกสัดส่วนในบ้านกัน จนเมื่อโคลท์ต้องการกำลังใจนั่นเอง ครอบครัวของเขาจึงมาปรองดอง เฉลยสาเหตุซึ่งไปพ้องกับเรื่องการหาแรงบันดาลใจ และหาความพอดีในชีวิตได้อย่างสวยงาม
สามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่กระทู้ข้างล่างนี้ครับ
5/10
กำกับ : ริชาร์ด ลองเครน
นักแสดง : พอล เบตตานี, เคริสเทน ดันสต์ , เบอร์นาร์ด ฮิลล์ , แซม นีล
ผู้เขียนบท : อดัม บรู้คส์, เจนนิเฟอร์ แฟรคเก็ตต์ และมาร์ค เลวิน

ปีเตอร์ โคลท์(พอล เบตตานี) นักเทนนิสมือวางอันดับที่ 119 เขาอยู่ในช่วงที่อ่อนล้าต่ออาชีพเหลือเกิน จากอดีตที่เคยไปถึงอันดับที่ 11 แต่ตอนนี้ฟอร์มกลับไม่เคยขึ้นสูงกว่านั้นเขาคิดว่าถึงคราวจะต้องแขวนแร็กเก็ตเสียแล้ว อย่างไรก็ดีในรอบคัดเลือกของวิมเบิลดันครั้งนี้ โคลท์ก็ฟันฝ่าจนผ่านมาเล่นในการแข่งขันชิงถ้วยรางวัลที่สำคัญที่สุดของอังกฤษ คิดเสียว่าต้องทำให้เต็มที่ในการแข่งขันครั้งสุดท้ายของตน ก่อนที่จะผันไปเป็นโค้ชให้กับคลับกีฬาที่ทาบทามมา ซึ่งจากสภาพที่เขาและคนดูสัมผัส ก็ไม่ได้มองเห็นอนาคตสักนิด
ผิดกับ ลิซซี่ แบรดบิวรี่(เคิร์สเทน ดันสต์) เธอคือนักเทนนิสอเมริกันสาวดาวรุ่ง ผู้เป็นตัวเก็งในการคว้าแชมป์วิมเบิลดันครั้งนี้ ขณะที่โคลท์เป็นนักเทนนิสผู้เงียบสมอันดับของตน เธอก็เป็นจอมหาเรื่องผู้ตัดสิน ขณะที่เขาไม่ได้คาดหวังชัยชนะอะไร ลิซซี่ก็แทบจะคาดคั้น มุ่งมั่นกับเกมส์ชนิดที่เรียกว่า “แพ้ไม่ได้”
แล้วพรหมลิขิตก็บันดาลชักพาให้ทั้งคู่บังเอิญมาเจอกันในระหว่างการเข้าพักเก็บตัวในโรงแรม แล้วก็ใช้เวลาไม่นานที่ทั้งคู่ตกร่องปล่องชิ้นกันด้วยความเต็มใจ ลิซซี่เคยชื่นชมฝีมือโคลท์ ขณะที่โคลท์ก็เหมือนมีกำลังใจในการแข่งมากกว่าเคย เรื่องราวดูเหมือนทำท่าว่าจะราบรื่น แต่เขาก็ต้องพบอุปสรรคทั้งเกมกีฬากับคูต่อสู้ในแต่ละแมตช์ที่หนักขึ้นเรื่อยๆ และเกมรักที่พ่อฝ่ายหญิง(แซม นีล)ไม่อยากให้ลูกของตนเสียความมุ่งมั่นไปกับเรื่องอื่นนอกจากการแข่งขัน
กราฟฟิคเปิดเรื่องในการขึ้นเครดิตคนละข้างสลับกันไปมาแสดงให้เห็นชัดว่า ปัญหาจริงๆ ที่หนังต้องการจะบ่งบอกกับเราก็คือการหาความสัมพันธ์ที่อยู่ระหว่างกึ่งกลางของคู่รัก แต่เอาเข้าจริงในฐานะที่ทั้งคู่เป็นนักกีฬาที่เล่นกีฬาที่ต้องมีการแบ่งข้างกันตลอด ทำให้ภาพของความสัมพันธ์ที่เคยสวยงามถูกบดบัง ไม่ว่าจะเป็นลิซซี่ที่อารมณ์เสียเมื่อรู้สึกโดนเอาเปรียบ ความต้องการแรงบันดาลใจที่เกินพอดีของโคลท์
หากใครที่เคยชมภาพยนตร์ของค่ายหนังอังกฤษอย่าง Working Title อย่าง Notting Hill, Bridget Jone ‘s Diary, Love Actually ซึ่งถนัดหนังรักโรแมนติค-คอเมดี้ เหลือเกิน เราก็จะได้พบฉากคลี่คลายในช่วงท้ายของ Wimbledon ในลักษณะเดียวกับ Notting Hill เมื่อปีเตอร์ โคลท์ กล้าเผยความรู้สึกออกมาให้ทุกคนได้รู้(หลายๆเหตุการณ์ใน Wimbledon เองก็ชวนให้นึกถึง Notting Hill ภาคนักเทนนิสไปได้เหมือนกัน) หนังทำฉากนี้ได้พอเหมาะ รวมไปถึงมุขตลกที่ใส่เข้ามาอย่างถูกจังหวะและไม่ทิ้งช่วง เสน่ห์ของนักแสดงระหว่าง เบตตานี และดันสท์ ถือว่าเป็นคู่ที่ทำปฏิกิรยาเคมีกันได้ลงตัวไม่น้อยหน้าใครเลยทีเดียว
สิ่งที่ทำให้ Wimbledon ไม่สนุกเท่าที่ควรคือการวางให้หนังเป็นทั้งหนังรักและหนังกีฬารวมกัน ดูเหมือนหนังจะเน้นสัดส่วนตรงกลางมากไปหน่อย หนังจึงมีทั้งฉากรักปนตลก กับฉากแข่งขันเทนนิสในปริมาณเท่าๆ กัน ความน่าเชื่อถือในความรักอันรวดเร็วของ ปีเตอร์ และลิซซี่ จึงขาดความน่าเชื่อถือไปพอสมควร ยิ่งในส่วนของการแข่งขัน หลายฉากต้องถือว่าเป็นความพยายามสร้างแมตช์ที่ดูตื่นตาตื่นใจเกินไปด้วยภาพที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ ทำให้เสน่ห์ของการแข่งขันลดลงตามไปด้วย
Working Title มักจะนำผู้กำกับเก่งๆ มาทำหน้าที่ในหนังรักที่มีไอเดียใหม่ๆ เสมอ อาทิ โรเจอร์ มิทเชล(Posession), พอล ไวทซ์(About a Boy), สตีเฟน เฟรียส์(High Fidelity) คราวของ Wimbledon เป็นของ ริชาร์ด ลองเครน เจ้าของผลงาน Richard III ที่ได้รับคำชมเมื่อตอนที่ออกฉาย น่าเสียดายที่ศักยภาพของลองเครนดูจะไม่สามารถสร้างความโดดเด่นให้หนังเรื่องนี้ ในระดับเดียวกับที่ Working Title ทำได้ในเรื่องอื่นๆ
ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากบทที่กลายเป็นสูตรสำเร็จหนังรักของค่ายนั่นเอง ตั้งแต่ความสำเร็จจาก Four Weddings and a Funeral(1994) หลังจากได้สร้างหนังรักคุณภาพที่มีความลงตัวมาหลายเรื่อง มาถึงตอนนี้ดูเหมือนจะมีสัญญาณเตือนให้กับทางค่ายแล้วว่าต้องหาทางออกใหม่ๆ กับหนังรักเสียที แม้ว่าเรื่องนี้จะเปลี่ยนจากมือเขียนบทหลักอย่าง ริชาร์ด เคอร์ติส ไปแล้วก็ตาม
ด้วยมาตรฐานทั่วไป Wimbledon ยังคงเป็นหนังรักดูสนุก แต่มันก็ไม่สามารถเป็นหนังรักที่ดีได้ เหมือนกับที่ไม่สามารถเป็นหนังกีฬาที่ดีได้เหมือนกัน
ถึงกระนั้นจุดเด่นที่น่าชื่นชมของหนังมีอยู่สองอย่าง ส่วนแรกคือการแสดงของเบตตานี และดันสต์ที่ปราศจากเครื่องสำอางตบแต่ง แต่พวกเขากลับมีเสน่ห์และดูดีได้ ด้วยบุคลิกและฝีมือการแสดงแท้ๆ ถือเป็นข้อพิสูจน์อันดีในการเห็นเบตตานีในบทนำ กับดันสต์ในบทที่ไม่ต้องหวือหวาอะไรนัก
อีกอย่างคือเรื่องครอบครัวของโคลท์ซึ่งใส่เข้ามาในเรื่อง หนังแสดงให้เห็นเป็นนัยว่ามีความห่างเหินกันอยู่ไม่น้อย แต่ไม่เปิดเผยแสดงออก สังเกตได้จากการที่พ่อแม่ของเขาแยกสัดส่วนในบ้านกัน จนเมื่อโคลท์ต้องการกำลังใจนั่นเอง ครอบครัวของเขาจึงมาปรองดอง เฉลยสาเหตุซึ่งไปพ้องกับเรื่องการหาแรงบันดาลใจ และหาความพอดีในชีวิตได้อย่างสวยงาม
สามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่กระทู้ข้างล่างนี้ครับ
0 Comments:
Post a Comment
Subscribe to Post Comments [Atom]
<< Home