September 30, 2004

Love Me If You Dare : คู่รักฉบับเอ๊กซ์ตรีม

Love Me If You Dare : คู่รักฉบับเอ๊กซ์ตรีม
6/10
user posted image




I thought that love was just a word
sung about in songs I heard
feelings could reveal that I was wrong
and it was real

Hold me close and hold me fast
the magic spell you cast
this is la vie en rose
when you kiss me heaven sighs
and tho I close my eyes
I see la vie en rose

When you press me to your heart
I'm in a world apart
a world where roses bloom
and when you speak, angels sing from above
everyday words seem to turn into love songs
give your heart and soul to me
and life will always be
la vie en rose


ขอเปิดด้วยเพลง La Vie En Rose เวอร์ชั่นของ Donna Summer ใครที่ได้ชม Love Me If You Dare มาต้องสามารถฮัมเพลงนี้ได้แน่นอน เพราะหนังเปิดและเล่นกับเพลงนี้ตลอดทั้งเรื่อง เพลงนี้เป็นเพลงอมตะอีกเพลงซึ่งมีหลากหลายแบบให้ได้ฟังกันทั้งเนื้อร้องและการเรียบเรียง ตัวหนังก็เลือกที่จะใช้หลากหลายเนื้อร้องมาดำเนินเรื่องก่อนจะแปรเปลี่ยนให้มันเป็นเนื้อเพลงรักหวานๆ แบบเนื้อเพลงข้างบน เราก็ได้เห็นจูเลียงและโซฟีโลดแล่นไปพร้อมกับเพลงนี้ด้วยวัย ความสัมพันธ์ และเกมที่พวกเขาเล่นหลายรูปแบบเช่นเดียวกัน

Love Me If You Dare หรือ Jeux d’enfants เล่าความสัมพันธ์ของชายหญิง คือ จูเลียง(กูอิลโลเม่ คาเน่ต์) และโซฟี(มาริยอง โคทิลารด์) เติบโตมาในละแวกเดียวกัน ในวัยเด็กทั้งเขาและเธอมีปัญหาทั้งคู่และทำให้สนิทกันรวดเร็วราวกับรู้ใจ จูเลียงมีแม่ที่รักเขาซึ่งป่วยหนัก กับพ่อที่เข้มงวดคอยเจ้ากี้เจ้าการเด็กซนอย่างเขา ขณะที่โซฟีเป็นชาวโปแลนด์ ซึ่งถูกเหยียดหยามแม้แต่เด็กด้วยกัน พวกเขาเริ่มรู้จักกันด้วยเล่นเกมช่วยเหลือกันของแต่ละฝ่าย นานวันเข้ามันก็บานปลาย พวกเขาเล่นเกมและสนิทสนมราวกับตัวติดกัน และก่อความอิดหนาระอาใจแก่ผู้ปกครองและครูอยู่เสมอ จนวันหนึ่งเมื่อแม่ของจูเลียงได้จากไป พ่อเขาตัดสินใจให้จูเลียงและโซฟีมาอยู่ในบ้านเดียวกัน โดยหวังว่าพวกเขาจะเลิกพฤติกรรมกล่าวลงได้เมื่อโตขึ้น แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นคลื่นใต้น้ำ ที่นานวันเข้ามันพวกเขาก็โถมแรงคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าเช่นเดิม พ่อตัดสินใจให้จูเลียงเลือกทางเดินชีวิตของตน หลังจากที่เขาและโซฟีเพิ่งรู้ว่ารักกัน ซึ่งมันก็ดูเหมือนมันจะสายเกินไปเสียแล้ว

บุคลิกของจูเลียงนั้นฉายแววทันทีตั้งแต่เขาเริ่มเล่าเรื่อง มันเป็นการบอกทันทีว่าเกมต่างๆที่เขาเคยเล่นมาน่าเบื่ออย่างยิ่ง และเกมสุดท้ายที่เขาเลือกนั้นสนุก ตื่นเต้นกว่าทุกเกมที่ใครเคยมา และหลังจากที่เขาเลือกโซฟี กระดูกคู่ที่เล่นเกมเพื่อทำลายกฎเกณฑ์ทางสังคมสารพัด ชีวิตของพวกเขาก็วิบัติอยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนในระดับต่างๆ , ครอบครัว, หน้าที่การงาน รวมไปถึงชีวิตคู่ ช่วงหลังของหนังชี้ให้เห็นว่าพวกเขาต้องทำตามกฎของสังคมและคล้ายจะเลิกเล่นเกมกันไปแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่เราจะได้เห็นพวกเขาทำอะไรราวกับเกมสนุกๆ เหมือนเด็กแม้จะเลยวัยมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนิสัยโทรศัพท์หาพ่อแต่ไม่พูด ,การโกหกในตอนทำงาน รวมไปถึงการคิดอะไรแรงๆ ของจูเลียง ด้านโซฟีเองก็ไม่น้อยหน้า เธอเลือกใช้ชีวิตเกี่ยวข้องกับเกมอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงการตัดสินใจที่ไม่เห็นแก่หน้าใครราวกับเป็นความสนุก

แรกเริ่มเดิมทีของหนังเรื่องนี้ ใครที่ได้ดูคงนึกถึงว่ามันเป็นหนังรักที่มีอารมณ์โหยหาอดีต(Nostagia)ผสมผสานลงไป นานเข้าหนังก็เริ่มเปลี่ยนอารมณ์ใหม่จนนึกว่าจะกลายเป็นหนังรักที่เล่าเรื่องตัวละครที่เติบโตขึ้น กลายเป็นหนังก้าวข้ามพ้นวัย(Coming of Age) ไปเสีย แต่โดยเนื้อแท้ นี่เป็นหนังประเภทคู่แท้(Soulmate) ที่มีระดับ Extreme ได้เลย จูเลียงและโซฟีเรียนรู้ในความรักของเขาและเธอด้วยเกม แต่เขาก็ต้องพลัดพราก สูญเสีย สุขและทุกข์ในรักที่พวกเขามีด้วยกันยาวนาน ก็เพราะเกมอีกนั่นเอง

ผู้ชมหลายคนอาจรับไม่ได้กับเกมส์ที่พวกเขาเล่น เพราะมันมีระดับที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หนักข้อถึงขั้นคอขาดบาดตายเข้าไปทุกที จนหนังมีสภาพจากหนังตลกโรแมนติค กลายเป็นหนังตลกร้ายไปเลย ซึ่งผมเชื่อว่าคนที่อึดอัดกับเรื่องราวในหนังต้องมีคำถามเป็นแน่แท้ว่า “สิ่งที่ทั้งคู่ทำเรียกว่ารักแน่หรือ”

เงื่อนไขสำคัญของ Love Me If You Dare ก็คือมันเป็นหนังหลีกหนีความจริงที่อิงกรอบจากโลกแห่งความเป็นจริง ด้วยรูปแบบการนำเสนอที่เน้นหลักการ “ชีวิตคือเกม” ซึ่งหนังก็บ่งชี้อยู่เนืองๆว่าเป็นเรื่องที่หลีกหนีความจริงอย่างยิ่ง เพราะจริงๆ แล้ว โลกที่จูเลียงและโซฟีอยู่นั้นก็มีหลักการแบบเดียวกับโลกแห่งความจริงที่ว่า “ชีวิตต้องทำตามกฎ” แม้เกมที่พวกเขาเล่นจะมีกติกาก็ถือว่าน้อยเต็มที่(ตามปรกติเกมทั่วไปก็มักมีกฎกติกาหยุมหยิม เพื่อฝึกฝนให้รู้จักโลกแห่งความจริง) เพียงแค่พวกเขาเลือกที่จะท้ากันแหกกฎว่า “เกม-ไม่เกม” ใครที่รับคำท้าเกมของพวกเขาก็จะเริ่มเล่นทันที(ซึ่งส่วนใหญ่ก็รับเล่นซะด้วย)

เรื่องจึงไม่ได้พยายามให้เรายอมรับความจริง หรือกฎเกณฑ์ในสังคม มันบอกให้เราเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อมั่นในรัก เพราะรักไม่มีเกณฑ์ใดๆ มาเป็นกฎ แม้แต่เกมที่พวกเขาเล่นก็มากำหนดไม่ได้

สิ่งที่ผมชอบมากใน Love Me If You Dare ไม่ใช่อารมณ์ขันแรงๆ ที่หนังเล่นกันไม่ยั้ง แต่เป็นการเปรียบเปรยการเล่นเกมกับความสัมพันธ์แบบชีวิตคู่ได้น่าสนใจ เริ่มจากเกมที่ทำให้เกิดมิตรภาพ ทำให้เกิดความสนุก ทำให้พวกเขาหลุดกรอบจากความเป็นจริงที่ทุกข์ทน ใช้เกมเพื่ออยู่ในกรอบของสังคม ใช้เพื่อแก้แค้นใครต่อใคร จากเพื่อรักกันจนกลายมาเป็นเกมที่ใช้ทะเลาะกัน เลิกรากัน และกลับมาเจอกันอีกครั้ง ชีวิตคู่จริงๆ ของใครหลายคนที่เริ่มก่อตัวจากความเป็นเพื่อน จากลิ้นกับฟันที่หาเรื่องกันได้ทุกครั้ง มันแปรความสัมพันธ์ให้ยั่งยืน หล่อหลอมจนตัดกันไม่ขาด ในส่วนนี้ต้องถือว่าหนังประสบความสำเร็จทีเดียวที่ทำให้เห็นความรู้สึกแบบนี้ได้

ส่วนปมชีวิตของทั้งสองนั้นถูกเล่าผ่านตัวจูเลียงมากกว่า ในฐานะที่พวกเขาเป็น "เด็กที่ไม่รู้จักโต" ด้วยกันทั้งคู่ ตามหลักจิตวิทยานั้นพอโตขึ้นปมของเด็กนั้นจะหายไปเอง แต่เนื่องจากทั้งคู่ยังมองโลกแบบยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ชีวิตพวกเขาจึงยังเล่นเกมแบบเด็กไม่สนใจใคร ซึ่งหากจะมองตามความเป็นจริง ชีวิตคนเราหลายๆคนก็ไม่ได้ทิ้งปมนี้ หากแต่เก็บซ่อนในส่วนลึกเพื่ออยู่กับสภาพสังคมก็มีไม่น้อย

น่าติดตามผลงานต่อไปของผู้กำกับและเขียนบทร่วม แยนน์ ซามูเอล เพราะเพียงแค่ผลงานชิ้นแรก นอกจากแสดงให้เห็นชั้นเชิงที่เก่งกาจในเทคนิคและการเล่าเรื่อง ก็ยังแสดงให้เห็นอีกว่าเขามีความเข้าใจในชีวิตพอควรทีเดียว แม้ว่าตัวหนังจะลักลั่นในส่วนของอารมณ์ขันแรงๆ หรือความเป็นแฟนตาซีที่ยังไม่เข้ารูปเข้ารอยพอดีทุกครั้ง(ส่วนนี้อาจเข้าทางคนฝรั่งเศส จนทำประสบความสำเร็จในประเทศบ้านเกิด ซึ่งน่าจะมาจากหนังถูกนิสัยของคนที่นั่นซึ่งพิสมัยการใช้ชีวิตอย่างเสรีเต็มที่) รวมไปถึงการบอกปมทางใจของจูเลียงและโซฟีให้กับคนดูทราบแบบขาดชั้นเชิงไปหน่อย

นอกเหนือจาก La Via En Rose ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในหนังที่ไม่ได้เป็นนักแสดง ยังมีตัวละครอีกคนหนึ่งที่อยู่ให้เราเห็นมาตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง มันเป็นกล่องใบหนึ่งซึ่งแม่มอบให้จูเลียง สีสันสวยงามมันใช้เพื่อทดแทนให้จูเลียงที่แม่ไม่สามารถพาไปเล่นที่ไหนได้ หลังจากเขาต้องจากแม่ไป มันกลับกลายเป็นตัวแทนของความสูญเสีย เมื่อเขาและโซฟีโตขึ้น พวกเขายิ่งเล่นเกมกันหนักข้อเท่าไหร่ มันก็ยิ่งบุบสลายเพราะการปล่อยปละละเลยมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่มันอยู่ใกล้พวกเขามากที่สุดแทบทุกขณะ จนเมื่อวันหนึ่งเรามองเห็นกล่องใบนี้อย่างใคร่ครวญ มันมิใช่ความสูญเสีย มิใช่เพียงสิ่งของที่ใช้เพื่อระบายโดยมิปริปากบ่น

กล่องใบนั้นคือตัวแทนของคำว่า “ความรัก” นั่นเอง

0 Comments:

Post a Comment

Subscribe to Post Comments [Atom]

<< Home