December 10, 2004

The Incredibles เรื่องของคนพิเศษ

user posted image


The Incredibles เรื่องของคนพิเศษ
9/10


ผู้กำกับและเขียนบท : แบรด เบิร์ด
ผู้ให้เสียงตัวละคร : เคร็ก ที.เนลสัน, ฮอลลี่ ฮันเตอร์, เจสัน ลี, แซมมวล แอล.แจ๊คสัน, และแบรด เบิร์ด
ทีมผู้สร้าง : พิกซาร์ สตูดิโอ

user posted image


ผลงานอนิเมชั่นเรื่องแรกของแบรด เบิร์ดอย่าง Iron Giant ทำให้เราเชื่อได้ว่าเด็กคนหนึ่งสามารถเป็นเพื่อนกับหุ่นยนต์ยักษ์จากนอกโลกได้ ในงานล่าสุดอย่าง The Incredibles ก็สามารถทำให้เราเชื่อว่าซูเปอร์ฮีโร่นั้นกลายเป็นคนธรรมดาได้อย่างไม่น่าเชื่อสมชื่อเรื่องจริงๆ

The Incredibles เป็นทั้งหนังแอ๊คชั่นซูเปอร์ฮีโร่ ในขณะเดียวกันก็เป็นหนังตลก-ล้อเลียน หนังครอบครัว ที่น่าทึ่งก็คือแต่ละแนวที่กล่าวมาสามารถเล่าได้สนุก ครบถ้วนกระบวนความของหนังแต่ละประเภท

คงจะไม่กล่าวถึงงานสร้างการ์ตูนอนิเมชั่นซีจีของพิกซาร์ การออกแบบงานสร้าง ฉากตื่นเต้น โลดโผนเร้าใจ ฉากดราม่าอารมณ์เกินการ์ตูน หรือไตเติ้ลปิด ซึ่งเป็นสิ่งที่การ์ตูนค่ายนี้ดีเสมอต้นเสมอปลายและพัฒนาเรื่อยๆ อยู่แล้ว จะขอกล่าวถึงความดีเด่นของเนื้อเรื่องและตัวละครเป็นหลัก

หนังเปิดเรื่องโดยเล่าถึงอดีตยุค 60s อันรุ่งโรจน์ของซูเปอร์ฮีโร่ อินครีดิเบิ้ล(เคร็ก ที.เนลสัน) และฮีโร่คนอื่นๆ มันเป็นเหมือนกับทุกๆ วัน ตัวเขามีงานให้ช่วยเหลือไม่ขาดแม้แต่งานเล็กๆน้อยๆ ก็ดูเหมือนทุกคนต้องการซูเปอร์ฮีโร่ตลอด แต่เขาก็ดูมีความสุขกับงานพิทักษ์เมืองและโลกอย่างมาก แต่หารู้ไม่ว่าท้ายที่สุดมันจะเป็นวันที่พลิกชีวิตเขาและบรรดาซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหลายไปสิ้น

อินครีดิเบิ้ล และฮีโร่คนอื่น โดนคนให้เหตุผลอันหลากหลายที่ไม่ต้องการพวกเขาจนในที่สุดรัฐบาลต้องปลดระวางภารกิจของพวกเขาทั้งหลาย ทำให้ฮีโร่ทุกคนกลายเป็นคนธรรมดา อินครีดิเบิ้ล มนุษย์จอมพลังแต่งงานกับฮีโร่หญิงอีลาสติเกิร์ล สาวยืดได้หดได้ (ฮอลลี่ ฮันเตอร์) ใช้ชื่อว่าบ๊อบ และเฮเลน พาร์ร เวลาผ่านไปจนพวกเขามีลูกถึง 3 คน คนแรกคือ ไวโอเล็ตสาวรุ่น ซึ่งมีพลังในการล่องหนและสร้างสนามป้องกันตน, แดส เด็กชายวัยกำลังซน ผู้มีความเร็วเกินจะมองเห็น และแจ๊ค แจ๊ค ทารกผู้ยังไม่มีพลังอะไรแสดงเด่นชัด

บ๊อบ เบื่อหน่ายกับการปรับตัวในชีวิตประจำวัน เขาเลือกทำงานพิทักษ์คนแบบใหม่โดยกลายเป็นพนักงานบริษัทประกัน แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ดั่งใจหวังในเมื่อบริษัทของเขา(ก็ทุกบริษัทประกันนั่นแหละ) ไม่ได้ต้องการสูญเสียเงินชดเชยให้ลูกค้าอย่างถูกควร นิสัยรักความยุติธรรมของบ๊อบทำให้เขาแทบจะเหลืออดกับชีวิตคนธรรมดาที่ไม่มีทางสู้อำนาจอีกรูปแบบของสังคม ที่ไม่อาจตัดสินกันได้ด้วยกำลัง มิหนำซ้ำกำลังเกินคนธรรมดาของเขารังแต่จะให้เกิดปัญหาเล็กๆน้อยๆ ในชีวิต และแน่นอนที่สุดเขาโหยหาอดีตอันรุ่งโรจน์ที่หายไปจากชีวิตมานาน

ไม่เว้นแม้แต่บ๊อบเอง ครอบครัวของเขาประสบปัญหาในการชีวิตกับพลังพิเศษที่มีอยู่ เฮเลนพยายามยืดหยุ่นบริหารครอบครัวแต่ดูเหมือนมันจะเกินแรงผิดกับพลังการยืดหดตัวที่เธอมี ไวโอเล็ตใช้พลังไปกับการหลบหนีเพื่อนและชายหนุ่มที่เธอแอบรัก แดสใช้ความเร็วไปกับการเล่นซนกลั่นแกล้งคนจนเกินปัญหา

ปัญหาที่บ๊อบประสบ ย่อมเป็นปัญหาที่ฮีโร่ทุกคนประสบ นำไปสู่การล่อลวงของตัวละครที่เสมือนด้านมืดแห่งจิตใจพวกเขาเอง คือ มิราจ (ภาพลวงตา) และทำให้บ๊อบได้พบกับเด็กที่อดีตชื่นชมเขาอย่าง บัดดี้ ซึ่งอยากเป็นคู่หูของบ๊อบในนาม อินครีดิบอย แต่น่าเสียดายที่เมื่อเขาไม่ได้เป็น เขาจึงกลายมาเป็นตัวร้าย ภาคตรงข้ามของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ในนาม ซินโดรม(เจสัน ลี) ซึ่งมีชุดแต่งกาย ภารกิจลับในลักษณะเทียบเคียงและแทนที่ซูเปอร์ฮีโร่

หนังบอกสารแก่ผู้ชมอยู่บ่อยครั้งว่า “ทุกคนในโลกนี้เป็นคนพิเศษ” แต่ตัวละครส่วนใหญ่กลับไม่เข้าใจ เช่นแดสที่บอกกับคุณแม่ของเขาว่า “อย่างนั้นก็เท่ากับว่าไม่มีใครเป็นคนพิเศษ” บ๊อบเป็นพนักงานบริษัทไร้อันดับ
,ไวโอเล็ตเป็นวัยรุ่นเก็บตัว, แดสเป็นเด็กมีปัญหา และแม้แต่เฮเลนเธอก็ยังเริ่มหึงหวง และไม่เชื่อใจสามีของเธอเอง พลังพิเศษของพวกเขากลายเป็นปมด้อยมากกว่าปมเด่นไปเสียแล้ว

และนั่นทำให้พลังพิเศษที่แท้จริงของครอบครัวพาร์รไม่เคยนำมาได้ใช้ ทันทีที่ลูกๆ ของพวกเขาเจอสถานการณ์คับขัน พวกเขาต่างไม่สามารถมองเห็นพลังแฝงที่ซ่อนอยู่ในกายได้ เช่นเดียวกับบ๊อบ ที่เรื้อเวทีการต่อสู้มานานจนกลายเป็นตาลุงอ้วนๆ คนหนึ่งไปแล้ว


สาระที่แฝงเร้นไว้ใน The Incredibles ใหญ่เอาเรื่อง มันเป็นเช่นเดียวกับ Iron Giant คือการสะท้อนภาพสังคมอเมริกันยุคสงครามเย็นที่มุ่งเน้น “การสร้างภาพ” ให้กับประชาชน และผลกระทบในระดับปัจเจกหลังจากนั้น



ใน Iron Giant สายลับและคนทั่วไปแม้แต่ในชนบทของอเมริกามองประเทศฝ่ายตรงข้ามไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ต่างดาวและวัตถุประหลาดนอกโลก เช่นที่มันถูกสร้างภาพจากภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ ขณะที่ใน The Incredibles บ๊อบเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ประเทศเคยชื่นชมยกย่อง ได้รับการโหมประโคมจากสื่อและถึงขั้นเคยออกโทรทัศน์มาแล้ว สถานภาพของเขาในตอนนั้นไม่ต่างอะไรกับที่ซูเปอร์แมนเคยถูกอุปโลกน์เป็นดั่งสัญลักษณ์ของความรักชาติ แบบคนอเมริกัน ขณะที่เมื่อพ้นยุคสมัยบ๊อบกลับกลายเป็นดั่งตัวละครตกสมัยที่ความสามารถของเขาไม่มีใครต้องการ สถานภาพมันช่างแตกต่าง ผลกระทบของเขาและซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นๆ ไม่ต่างอะไรกับผู้รอดชีวิตจากสงครามเวียดนามที่ปรับชีวิตเข้ากับสังคมไม่ได้ ภารกิจที่เขาเคยทำอย่างกล้าหาญถูกปกปิดด้วยหน้ากากที่ไม่อาจเปิดเผยตัวตน

แถมยังทำให้เกิดผู้ต่อต้านกลายเป็นศัตรูกับคนเหล่านั้นไม่ให้อยู่ในสังคม ซึ่งก็คือเด็กรุ่นหลังอย่าง บั๊ดดี้ ที่กลายเป็นคนอย่าง ซินโดรม ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการสะท้อนภาพปัญหาการเกิดยับปี้ในสังคมอเมริกา กลุ่มคนที่หวังสร้างฐานะไม่สนใจปัญหาสังคม นอกจากเรื่องของตน เช่นเดียวกับที่ ซินโดรม ชื่นชมในศักยภาพและเทคโนโลยีที่ตนมีอยู่อย่างเหลือล้น

ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือเมื่อคนในระดับปัจเจกเหล่านั้นได้ถูกใช้แล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์คนเหล่านั้นก็อาจถูกกำจัดออกไปจากสังคม หรือกลายเป็นคนไร้ตัวตนที่ไม่มีใครสนใจ ซึ่งหนังสะท้อนภาพนั้นได้อย่างน่าขนลุกในฉากที่บ๊อบ หรืออินครีดิเบิ้ลพบข้อมูลลับการกำจัดซูเปอร์ฮีโร่ของซินโดรม ซึ่งมันยังบ่งบอกอีกด้วยว่าวัฏจักรของการสร้างภาพเองก็กำลังจะนำมาปัดฝุ่นอีกครั้งไม่เปลี่ยนแปร(เช่นเดียวกับนโยบายของสหรัฐฯในขณะนี้ไม่มีผิด)

อย่างไรก็ตามตัวละครที่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ครอบครัวพาร์รเข้าใจและรู้หลักการปรับตัวในชีวิตมากขึ้น ก็ได้ปรากฎตัวขึ้นนั่นคือตัวละครขโมยซีนประจำเรื่อง เอ๊ดน่า โหมด(แบรด เบิร์ด) ดีไซเนอร์ชุดของซูเปอร์ฮีโร่ หญิงแก่ร่างเล็กที่ไร้ความสามารถพิเศษใดๆ แต่เธอก็ยังเฝ้ารอคอยในการสร้างชุดใหม่ๆ สำหรับฮีโร่ แม้ในยุคที่จะไม่มีพวกเขาเหล่านั้นแล้วก็ตาม มิหนำซ้ำใช่ว่าเธอจะอยู่เฉย กลับลับฝีมือคิดค้นพัฒนาไม่ให้ชุดเหล่านั้นตกสมัย พัฒนาให้มีประสิทธิภาพการใช้งานดียิ่งขึ้น

เมื่อนั้นเองที่ครอบครัวพาร์รได้พบกับความสุขและความวิเศษจากการเป็นคนธรรมดา เมื่อพวกเขาพบคุณค่าของพลังเหล่านั้นจริงๆ มันเป็นวันธรรมดาอีกวันที่บ๊อบไม่ต้องหัวเสีย เฮเลนไม่ต้องดุด่าลูกในการใช้พลัง แต่พวกเขากำลังชื่นมื่นที่เห็นลูกๆ มีความสุข

แบรด เบิร์ด ไม่ได้เล่าเรื่องอย่างจืดชืด เขามีจังหวะจะโคนในการเดินเรื่อง เร่งเร้าเต็มที่ในฉากตื่นเต้นหรือบีบคั้นอารมณ์ สนุกกับการใส่มุขตลก การแทรกฉากล้อเลียนมาในจังหวะที่เกินคาด หรือแม้แต่ทำให้เรายิ้มไปกับการตั้งชื่อตัวละครทุกคนที่ทำให้เรารู้ถึงลักษณะพวกเขาตั้งแต่ต้นแต่ก็อดขำไม่ได้

หนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดูเหมือนจะซ้ำซากในวันที่หนังใช้คนเล่นประเภทนี้ถูกสร้างมาในปริมาณเกินพอดี แต่หนังการ์ตูนอย่าง The Incredibles คือทางเลือกที่น่าเชื่อในคุณภาพ และทำให้เราเชื่อว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ยังมีที่ทางของมันจริงๆ

ป.ล. หนังอาจจะมีปัญหาอยู่บ้างก็ตรงความรุนแรงที่มาพร้อมกับฉากแอ๊คชั่น และความโหดตัวละครฝ่ายร้าย ในปริมาณมาก ผู้ชมควรมีอายุเกิน 13 ปีขึ้นไป




--------------------

December 08, 2004

Vanity Fair : ภาพสวยงามที่ว่างเปล่า

Vanity Fair : ภาพสวยงามที่ว่างเปล่า

6/10
กำกับ : มิร่า แนร์
บทภาพยนตร์ : จูเลียน เฟลโลวส์, แมทธิว โฟลค์, มาร์ค สคีต จากบทประพันธ์ของ วิลเลียม เมคพีซ แธคเกอร์เรย์
ผู้แสดง : รีส วินเธอร์สปูน, โรโมล่า กาไร, บ๊อบ ฮอสกินส์, ไรน์ ไอฟานส์, จิม บรอดเบนท์

user posted image

บ่อยครั้งที่คนเราตกในอยู่ภาพสวยงามของอุดมคติ กว่าจะรู้ชีวิตเดินทางผิดพลาดก็มาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับ เหมือนดังเช่น เบ๊คกี้ และอมีเลีย ใน Vanity Fair ผลงานล่าสุดของ มิร่า แนร์ ซึ่งดูจะคล้ายกับงานก่อนหน้าของเธออย่าง Monsoon Wedding, Hyterical Blindness ที่มุ่งสะท้อนชีวิตของหญิงสาวที่ต้องหลงทางไปกับสังคมในหลายระดับ

Vanity Fair เป็นวรรณกรรมของ วิลเลี่ยม เมคพีซ แธคเกอร์เรย์ ซึ่งเป็นผู้ถนัดในการตีแผ่ชีวิตของคนสังคมชั้นสูงและชนชั้นกลางในเกาะอังกฤษ เรื่องรีเบ๊คก้า ชาร์ป หรือ เบ๊คกี้(รีส วินเธอร์สปูน) หญิงสาวในสังคมชั้นล่าง มีพ่อเป็นจิตรกรไส้แห้ง และแม่เป็นนักร้องโอเปร่า เธอกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก และหวังที่จะมีชีวิตในสังคมชั้นสูงพ้นจากชีวิตเก่าๆ ด้วยความรู้ที่เธอมีเพียบพร้อม เธอได้รู้จักกับอมีเลีย(โรโมล่า กาไร) คนมีตระกูลที่ไม่มีความทะเยอทะยานนอกจากต้องการรักแท้ เธอสนับสนุนความรักระหว่างพี่ชายของเธอกับเบ๊คกี้แต่ก็คลาดกันไป หลังจากนั้นเมื่อเธอมาเป็นครูสอนพิเศษให้กับเซอร์ พิตต์ ครอว์ลี่ย์(บ๊อบ ฮอสกินส์) ผู้ดีตกยาก เธอก็สามารถผันตนเองไปเป็นคนรับใช้ของมาทิลด์ ครอว์ลี่ย์ ผู้มีฐานะระดับเศรษฐินี และหว่านเสน่ห์กับรอว์ด้อน(เจมส์ เพียวฟอย) จนเขาหลงรักและแต่งงานกับเธอ อย่างไรก็ตามความต้องการยกระดับตนของเบ๊คกี้ก็ไม่จบเพียงแค่นั้น

มิร่า แนร์ สะท้อนภาพจอมปลอมในสังคมหลายลักษณะ ตั้งแต่ภาพของยุคสมัยนโปเลียน ที่มีความผันผวนทางการเมือง เกิดสงครามบ่อยครั้งจากอำนาจที่ขึ้นลงของนโปเลียน และทำให้สังคมในขณะนั้นชนชั้นสูงหรือคนสามัญเกิดความไม่แน่นอนตลอด หนังเองก็ฉลาดที่ทำให้เบ๊คกี้พบกับอุปสรรคขึ้นๆลงๆ ในชีวิตทะเยอทะยานของเธออยู่เรื่อยๆ

ภาพหลายภาพถูกสะท้อนมาอย่างเรียบง่ายแต่ฉลาด ไม่ว่าจะเป็นภาพใบไม้ร่วงอันแสดงความไม่ยั่งยืนของลาภยศ, การนำศิลปะอินเดียมาผสมผสานในชีวิตเบ๊คกี้ และคนอังกฤษที่บ่งชี้ถึงภาพอุดมคติที่ไม่เป็นจริง, ความตลกขบขันของคนชั้นสูงที่เจ้ายศเจ้าอย่างใช้วาจาเชือดเฉือนกัน แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยการซุบซิบนินทา ซึ่งเอาเข้าจริงก็ต่างหวังในสมบัติ หรือบรรดาศักดิ์ที่สูงขึ้นนั่นเอง



ส่วนที่หนังทำได้ดีจริงๆ คือการเปรียบเทียบของตัวละครอย่างเบ๊คกี้ และอมีเลีย ซึ่งต่างเป็นภาคตรงข้ามของกันและกัน แต่กลับส่งผลสะท้อนในสาระเรื่องอุดมคติ – กับภาพลวงในบริบทสังคมยุคนั้น กับยุคปัจจุบันได้อย่างดี



เบ๊คกี้ ถูกนำเสนอได้อย่างน่าเชื่อถือ เธอยกฐานะทางสังคมราวกับติดตามภาพวาดของพ่อเธอที่ถูกขายประมูลไป โดยมีฉากการมอบภาพวาดสุดท้ายของพ่อให้กับอมีเลียเสมือนเป็นการทิ้งรากที่เคยมีติดตัว แม้มีสิ่งที่ติดตัวคือความปรารถนาในดินแดนอุดมคติอย่างอินเดีย แต่กลับหลงผิดไปกับการเข้าสังคมชั้นสูงเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายนั้นแทน บทเรียนแลกของเบ๊คกี้ที่ต้องกินพริกทั้งน้ำตานั้นานอกจากจะสะท้อนสังคมที่เธอจะต้องไปประสบยังบ่งบอกอีกว่าความสวยงามนั้นแลกมากับความเจ็บปวดเสมอ

ภาพเปรียบอีกอย่างของชีวิตเสี่ยงโชคในเบ๊คกี้ คือการให้สามีของเบ๊คกี้อย่างรอว์ด้อน เป็นนักพนันตัวยง
ก่อนที่จะชะตาชีวิตหลังการมีชีวิตครอบครัวของเธอจะนำพาให้ไปพบกับภาพวาดของพ่ออีกครั้งแต่เมื่อเธอแหงนมองดูกับสิ่งที่แลกมา ความปลื้มปิติที่บากบั่นในแววตาของเธอกลับไม่มีเหลืออีกต่อไป

น่าชมเชยกับเครื่องแต่งกายที่ตอกย้ำลักษณะตัวละครอย่างเบ๊คกี้ได้อีกทาง เธอใฝ่ฝันถึงอินเดียจึงเครื่องแต่งกายในแบบภารตะตลอดเวลา ยามเมื่อวัยผ่านเลยไปเบ๊คกี้ก็ยังไม่วายแต่งกายโดยมีผ้าคลุมหน้าเป็นรูปดวงดาวรอให้เธอไขว่คว้าอยู่ร่ำไป

ขณะที่ตัวละครอย่าง อมีเลีย กลับแตกต่างตรงข้ามเธอเกิดในตระกูลผู้ดี จึงแสวงหาความรักแบบรักเดียวใจเดียวจาก จอร์จ ออสบอร์น(โจนาธาน ไรนส์ เมเยอร์)บุตรชายของตระกูลพ่อค้าซึ่งไม่ได้รักเธอแม้แต่น้อย โดยที่เธอกลับไม่เห็นความรักที่มาหาเธอตรงหน้าของวิลเลี่ยม(ไรน์ ไอฟานส์) แม้เมื่อฐานะการเงินย่ำแย่ก็ยังไม่เปลี่ยนแปรในความคิดของตน

หากเบ๊คกี้ เป็นผู้ที่ต้องการฐานะทางสังคมโดยปราศจากศักดิ์ศรี อมีเลียก็คือผู้ที่ยึดติดในศักดิ์ศรีโดยไม่ห่วงสถานภาพของตน

มองให้ลึกแนร์ทำงานต่อเนื่องจากผลงานก่อนหน้ามากกว่าหนังย้อนยุค สภาพสังคมทุนนิยมอุดมความขัดแย้งของชาติต่างๆ ในปัจจุบันเอง ดูจะเข้ากันดีกับสภาพสังคมในยุคนโปเลียน ที่มีแต่สงครามไม่หยุดหย่อน ผู้คนหลงใหลในลาภยศ และภาพลวงตาที่สวยงามกันจนไม่ลืมหูลืมตาจนขาดเหตุผลการแยกแยะ

อย่างไรก็ตามแม้ Vanity Fair จะโดดเด่นดังเช่นที่กล่าวมาแต่หนังก็ขาดพลังในแง่ของงานสร้างแบบหนังย้อนยุคดีๆ เรื่องหนึ่งควรจะมี การที่หนังมุ่งเน้นสะท้อนภาพสังคมมากเกินไป ทำให้หนังขาดความสวยงาม ภาพตระการตาแบบที่หนังประเภทนี้มีไปแทบจะสิ้นเชิง อีกทั้งปริมาณการนำเสนอหลายครั้งก็ดูจะขาดชั้นเชิง ผิดกับงานในลักษณะเดียวกันอย่าง Gosford Park , The Great Expectations หรือ Dangerous Liasons อยู่ไม่น้อย ในส่วนที่ต้องการจะให้แรงหนังก็กลับแรงไม่พอ

บทภาพยนตร์ของเฟลโลวส์ ไม่มีตัวละครที่แสดงความโดดเด่นได้เทียบเท่าที่เขาเคยเขียนใน Gosford Park ที่แม้จะเฉลี่ยบทบาทตัวละครให้มีสีสันทุกคน แต่มันก็ทำให้ตัวละครที่ได้ชื่อว่าโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในโลกวรรณกรรมอย่าง เบ๊คกี้ถูกลดทอนความเด่นลงไปโดยเฉพาะในช่วงท้ายที่เรื่องราวค่อนข้างรวบรัดจนแทบไม่เห็นสีสันที่เคยเป็นในช่วงต้น อีกทั้งมันยังลดด่านทดสอบที่เข้มข้นขึ้นของเบ๊คกี้ในสังคมชั้นสูงออกไป จนเราไม่เห็นอุปสรรคของเธออย่างที่เห็นในช่วงแรก น่าเสียดายกับการแสดงของรีส วินเธอร์สปูนที่เห็นถึงความตั้งใจและฝีมือที่เธอมีท่ามกลางนักแสดงอังกฤษชั้นดีเต็มเรื่อง บทเบ๊คกี้ในที่นี้น่าจะส่งเธอได้มากกว่าที่เป็นอยู่

โดยรวม Vanity Fair เป็นงานในระดับที่น่าพอใจไม่ว่าจะในเจตนาของตัวนักแสดงหรือผู้กำกับ และคุณภาพของหนัง แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่า หากหนังมีความกล้าแหวกขนบของหนังย้อนยุคมากกว่านี้ ความสนุกในการเสียดสี การบ่งชี้ปัญหาสังคมอย่างที่แนร์ถนัด จะบรรลุวัตถุประสงค์ของบทประพันธ์ได้กว่าที่เห็น และโดดเด่นพ้นระดับเรื่องราวในลักษณะเดียวกันของตัวบทประพันธ์ ที่แม้จะมีความเป็นเลิศในตัวเองอยู่แล้ว แต่มันก็ถูกสร้างมาหลายต่อหลายครั้งเสียจนอาจหาความแตกต่างไม่เจอ




--------------------