November 29, 2004

Wimbledon : สองเราเท่ากัน

Wimbledon : สองเราเท่ากัน

5/10
กำกับ : ริชาร์ด ลองเครน
นักแสดง : พอล เบตตานี, เคริสเทน ดันสต์ , เบอร์นาร์ด ฮิลล์ , แซม นีล
ผู้เขียนบท : อดัม บรู้คส์, เจนนิเฟอร์ แฟรคเก็ตต์ และมาร์ค เลวิน

user posted image

ปีเตอร์ โคลท์(พอล เบตตานี) นักเทนนิสมือวางอันดับที่ 119 เขาอยู่ในช่วงที่อ่อนล้าต่ออาชีพเหลือเกิน จากอดีตที่เคยไปถึงอันดับที่ 11 แต่ตอนนี้ฟอร์มกลับไม่เคยขึ้นสูงกว่านั้นเขาคิดว่าถึงคราวจะต้องแขวนแร็กเก็ตเสียแล้ว อย่างไรก็ดีในรอบคัดเลือกของวิมเบิลดันครั้งนี้ โคลท์ก็ฟันฝ่าจนผ่านมาเล่นในการแข่งขันชิงถ้วยรางวัลที่สำคัญที่สุดของอังกฤษ คิดเสียว่าต้องทำให้เต็มที่ในการแข่งขันครั้งสุดท้ายของตน ก่อนที่จะผันไปเป็นโค้ชให้กับคลับกีฬาที่ทาบทามมา ซึ่งจากสภาพที่เขาและคนดูสัมผัส ก็ไม่ได้มองเห็นอนาคตสักนิด

ผิดกับ ลิซซี่ แบรดบิวรี่(เคิร์สเทน ดันสต์) เธอคือนักเทนนิสอเมริกันสาวดาวรุ่ง ผู้เป็นตัวเก็งในการคว้าแชมป์วิมเบิลดันครั้งนี้ ขณะที่โคลท์เป็นนักเทนนิสผู้เงียบสมอันดับของตน เธอก็เป็นจอมหาเรื่องผู้ตัดสิน ขณะที่เขาไม่ได้คาดหวังชัยชนะอะไร ลิซซี่ก็แทบจะคาดคั้น มุ่งมั่นกับเกมส์ชนิดที่เรียกว่า “แพ้ไม่ได้”

แล้วพรหมลิขิตก็บันดาลชักพาให้ทั้งคู่บังเอิญมาเจอกันในระหว่างการเข้าพักเก็บตัวในโรงแรม แล้วก็ใช้เวลาไม่นานที่ทั้งคู่ตกร่องปล่องชิ้นกันด้วยความเต็มใจ ลิซซี่เคยชื่นชมฝีมือโคลท์ ขณะที่โคลท์ก็เหมือนมีกำลังใจในการแข่งมากกว่าเคย เรื่องราวดูเหมือนทำท่าว่าจะราบรื่น แต่เขาก็ต้องพบอุปสรรคทั้งเกมกีฬากับคูต่อสู้ในแต่ละแมตช์ที่หนักขึ้นเรื่อยๆ และเกมรักที่พ่อฝ่ายหญิง(แซม นีล)ไม่อยากให้ลูกของตนเสียความมุ่งมั่นไปกับเรื่องอื่นนอกจากการแข่งขัน

กราฟฟิคเปิดเรื่องในการขึ้นเครดิตคนละข้างสลับกันไปมาแสดงให้เห็นชัดว่า ปัญหาจริงๆ ที่หนังต้องการจะบ่งบอกกับเราก็คือการหาความสัมพันธ์ที่อยู่ระหว่างกึ่งกลางของคู่รัก แต่เอาเข้าจริงในฐานะที่ทั้งคู่เป็นนักกีฬาที่เล่นกีฬาที่ต้องมีการแบ่งข้างกันตลอด ทำให้ภาพของความสัมพันธ์ที่เคยสวยงามถูกบดบัง ไม่ว่าจะเป็นลิซซี่ที่อารมณ์เสียเมื่อรู้สึกโดนเอาเปรียบ ความต้องการแรงบันดาลใจที่เกินพอดีของโคลท์

หากใครที่เคยชมภาพยนตร์ของค่ายหนังอังกฤษอย่าง Working Title อย่าง Notting Hill, Bridget Jone ‘s Diary, Love Actually ซึ่งถนัดหนังรักโรแมนติค-คอเมดี้ เหลือเกิน เราก็จะได้พบฉากคลี่คลายในช่วงท้ายของ Wimbledon ในลักษณะเดียวกับ Notting Hill เมื่อปีเตอร์ โคลท์ กล้าเผยความรู้สึกออกมาให้ทุกคนได้รู้(หลายๆเหตุการณ์ใน Wimbledon เองก็ชวนให้นึกถึง Notting Hill ภาคนักเทนนิสไปได้เหมือนกัน) หนังทำฉากนี้ได้พอเหมาะ รวมไปถึงมุขตลกที่ใส่เข้ามาอย่างถูกจังหวะและไม่ทิ้งช่วง เสน่ห์ของนักแสดงระหว่าง เบตตานี และดันสท์ ถือว่าเป็นคู่ที่ทำปฏิกิรยาเคมีกันได้ลงตัวไม่น้อยหน้าใครเลยทีเดียว

สิ่งที่ทำให้ Wimbledon ไม่สนุกเท่าที่ควรคือการวางให้หนังเป็นทั้งหนังรักและหนังกีฬารวมกัน ดูเหมือนหนังจะเน้นสัดส่วนตรงกลางมากไปหน่อย หนังจึงมีทั้งฉากรักปนตลก กับฉากแข่งขันเทนนิสในปริมาณเท่าๆ กัน ความน่าเชื่อถือในความรักอันรวดเร็วของ ปีเตอร์ และลิซซี่ จึงขาดความน่าเชื่อถือไปพอสมควร ยิ่งในส่วนของการแข่งขัน หลายฉากต้องถือว่าเป็นความพยายามสร้างแมตช์ที่ดูตื่นตาตื่นใจเกินไปด้วยภาพที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ ทำให้เสน่ห์ของการแข่งขันลดลงตามไปด้วย

Working Title มักจะนำผู้กำกับเก่งๆ มาทำหน้าที่ในหนังรักที่มีไอเดียใหม่ๆ เสมอ อาทิ โรเจอร์ มิทเชล(Posession), พอล ไวทซ์(About a Boy), สตีเฟน เฟรียส์(High Fidelity) คราวของ Wimbledon เป็นของ ริชาร์ด ลองเครน เจ้าของผลงาน Richard III ที่ได้รับคำชมเมื่อตอนที่ออกฉาย น่าเสียดายที่ศักยภาพของลองเครนดูจะไม่สามารถสร้างความโดดเด่นให้หนังเรื่องนี้ ในระดับเดียวกับที่ Working Title ทำได้ในเรื่องอื่นๆ

ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากบทที่กลายเป็นสูตรสำเร็จหนังรักของค่ายนั่นเอง ตั้งแต่ความสำเร็จจาก Four Weddings and a Funeral(1994) หลังจากได้สร้างหนังรักคุณภาพที่มีความลงตัวมาหลายเรื่อง มาถึงตอนนี้ดูเหมือนจะมีสัญญาณเตือนให้กับทางค่ายแล้วว่าต้องหาทางออกใหม่ๆ กับหนังรักเสียที แม้ว่าเรื่องนี้จะเปลี่ยนจากมือเขียนบทหลักอย่าง ริชาร์ด เคอร์ติส ไปแล้วก็ตาม

ด้วยมาตรฐานทั่วไป Wimbledon ยังคงเป็นหนังรักดูสนุก แต่มันก็ไม่สามารถเป็นหนังรักที่ดีได้ เหมือนกับที่ไม่สามารถเป็นหนังกีฬาที่ดีได้เหมือนกัน

ถึงกระนั้นจุดเด่นที่น่าชื่นชมของหนังมีอยู่สองอย่าง ส่วนแรกคือการแสดงของเบตตานี และดันสต์ที่ปราศจากเครื่องสำอางตบแต่ง แต่พวกเขากลับมีเสน่ห์และดูดีได้ ด้วยบุคลิกและฝีมือการแสดงแท้ๆ ถือเป็นข้อพิสูจน์อันดีในการเห็นเบตตานีในบทนำ กับดันสต์ในบทที่ไม่ต้องหวือหวาอะไรนัก

อีกอย่างคือเรื่องครอบครัวของโคลท์ซึ่งใส่เข้ามาในเรื่อง หนังแสดงให้เห็นเป็นนัยว่ามีความห่างเหินกันอยู่ไม่น้อย แต่ไม่เปิดเผยแสดงออก สังเกตได้จากการที่พ่อแม่ของเขาแยกสัดส่วนในบ้านกัน จนเมื่อโคลท์ต้องการกำลังใจนั่นเอง ครอบครัวของเขาจึงมาปรองดอง เฉลยสาเหตุซึ่งไปพ้องกับเรื่องการหาแรงบันดาลใจ และหาความพอดีในชีวิตได้อย่างสวยงาม

สามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่กระทู้ข้างล่างนี้ครับ

November 28, 2004

Alexander : มหาราชในมุมมองของสโตน

Alexander : มหาราชในมุมมองของสโตน
5/10
ผู้กำกับ : โอลิเวอร์ สโตน
บทภาพยนตร์ : โอลิเวอร์ สโตน, คริสโตเฟอร์ ไคลย์, เลต้า คาโลกริดิส
นำแสดง : โคลิน ฟาร์เรล,แองเจลิน่า โจลี่, แอนโธนี่ ฮอพกินส์, วาล คิลเมอร์
กำกับภาพ : โรดริโก้ ปริเอโต้
ดนตรีประกอบ : แวงเจลลิส


โอลิเวอร์ สโตน เป็นนักทำหนังที่โดดเด่นในช่วงกลางยุค 80s รางวัลออสการ์ในสาขาผู้กำกับถึง 2 ตัวย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จ การยอมรับ และฝีมือของสโตนอย่างไม่ต้องสงสัย นับตั้งแต่ Salvador ในปี 1986 ซึ่งถือเป็นหนังเรื่องแรกที่สโตนได้มีโอกาสแสดงตัวตนมากขึ้น งานของเขาจับต้องได้ถึงเอกลักษณ์ในการนำเสนอโลกของผู้ชาย ภาวะ และมุมมองที่ข้องเกี่ยวกับสังคมที่เพศชายเป็นใหญ่ ถูกนำเสนอด้วยการแข่งขัน การปะทะทางคำพูดและร่างกาย ความรุนแรง และพลังทางอารมณ์เกรี้ยวกราด แม้ในงานที่ตลาดที่สุดอย่าง Any Given Sunday

แต่จุดแข็งก้ถือเป็นดาบสองคมหลังความสำเร็จจาก JFK เป็นต้นมา หนังของเขาได้รับความนิยมน้อยลงทุกที ด้วยมุมมองทางสังคมที่พ้นกระแส จุดอ่อนในการนำเสนอเรื่องที่นุ่มนวล และละเอียดอ่อน ซึ่งต้องยอมรับว่าหนังของสโตนมีน้อยเหลือเกิน รวมไปถึงงานล่าสุดอย่าง Alexander

เรื่องราวของอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์แห่งมาซีโดเนีย(356-323 ก่อนคริสตกาล) ที่ทำให้อารยธรรมกรีกแผ่ขยายไปได้ไกลที่สุดจากอียิปต์ ไปจนถึงแคว้นแบคเทรียของอินเดีย สิ่งที่พระองค์ได้รับการยกย่องอย่างมากเพราะว่าไม่ใช่แค่การรบตีเมือง แต่เป็นการนำอารยธรรมกรีกไปพัฒนาเมืองเหล่านั้นให้เจริญยิ่งขึ้น แม้จะสิ้นพระชนม์ด้วยวัย 33 พรรษา แต่ประวัติศาสตร์ในอดีตที่คลุมเครือ และชีวิตของคนผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งนั้นก็มีเรื่องราวที่สามารถบอกเล่าได้ไม่จบสิ้น

โอลิเวอร์ สโตน เล่าอเล็กซานเดอร์มหาราช(โคลิน ฟาเรล) ครอบคลุมตั้งแต่ประสูติไปจนสวรรคต โดยปโตเลมี( แอนโธนี่ ฮอพกินส์) ปราชญ์และนักรบซึ่งได้ปกครองอียิปต์หลังจากอเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ ขับเน้นปมความขัดแย้งระหว่างพระบิดา พระเจ้าฟิลิปที่ 2 (วาล คิมเมอร์)และพระมารดา พระนางโอลิมเปียส(แองเจลิน่า โจลี่) ชีวิตวัยเยาว์ ม้าศึกคู่ใจ ความขัดแย้งกับพระบิดา การออกรบเพื่อไขว่คว้าชีวิตที่เป็นอิสระ เหตุการณ์ตามบันทึกประวัติศาสตร์ในการยกทัพตีดินแดงต่างๆ โดยเฉพาะแถบเปอร์เซียและอินเดีย การอภิเษกกับเจ้าหญิงแห่งแคว้นแบคเทรีย ประเด็นเรื่องการเป็นเกย์ของอเล็กซานเดอร์ที่มีความสัมพันธ์กับสหายคนสนิทอย่างเฮฟฟาอีสเทียน(จาเร็ต เลโต้) ชัยชนะในสงคราม ความขัดแย้งของเหล่าทหารที่มากขึ้น ไปจนถึงเหตุแห่งการสิ้นพระชนม์ รวมความเบ็ดเสร็จแล้วทำให้หนังยาวเกือบ 3 ชั่วโมง

user posted image

ไม่เคยมีใครยืนยันว่าวิธีการนำเสนอบันทึกทางประวัติศาสตร์แบบไหนจะดีที่สุด แต่การนำเสนอทั้งหมดแบบใน Alexander ของสโตน ก็ไม่ต่างจากบทภาพยนตร์ดัดแปลงส่วนใหญ่ที่นำเอาวรรณกรรมมาถ่ายทอดโดยไม่พยายามลดหรือตัดรายละเอียดออกไป และถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ความขาดอรรถรสแบบภาพยนตร์ ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการเล่าเรื่อง แต่หวังผลในการสร้างอารมณ์ร่วม และนั่นทำให้ Alexander กลายเป็นหนังประวัติศาสตร์-มหากาพย์ที่ค่อนข้างจืดชืด เพราะรายละเอียดที่มุ่งตรงมายังตัวละครเพียงคนเดียวในหนัง ทำให้ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกที่อเล็กซานเดอร์มีต่อตัวละครอี่นได้อย่างลึกซึ้ง ยิ่งรวมกับจุดอ่อนของสโตนที่แม้หนังจะโดดเด่นในฉากการต่อสู้ และปะทะอารมณ์ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้หนังดูได้ต่อเนื่อง แต่กลับพลาดท่าในฉากรักซึ่งทำได้อย่างประดักประเดิก เนื่องจากหนังให้เวลาในการทำความเข้าใจประเด็นเกย์ของยุคกรีกน้อยมาก แต่กลับเน้นฉากแสดงความรักบ่อยครั้งเกิน โดยแทบไม่ได้ส่งผลต่อสาระของหนังสักเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เวลา 3 ชั่วโมงดูยืดเยื้อยาวนานกว่าปรกติ โดยเฉพาะช่วงต้นๆ ที่ถูกเล่าเรื่องทื่อตรงจนแทบจะเป็นการลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์โดยไม่จำเป็น ส่งผลให้ไคลแม็กซ์ช่วงท้ายมาถึงช้าเกินความจำเป็น

สาระของหนังว่าด้วยการปลดปล่อยชีวิตของตนเป็นอิสระ ตามถ้อยคำที่อเล็กซานเดอร์ดำรัสออกมา “ท้ายที่สุด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำ” รวมไปถึงการเน้นย้ำในหลายครั้งอาทิ สัญลักษณ์นกอินทรีย์, การสู้รบที่ยาวนานไม่ยอมสิ้นสุด, การปล่อยดินแดนที่ยึดครองให้ปกครองตนเอง, และฉากวัยเยาว์ที่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการสู้กับเฮฟฟาอีสเทียนแต่รวมแล้วก็ไม่หนักแน่นเพียงพอ เนื่องจากมันถูกบดบังด้วยเรื่องอื่นๆ แทบจะตลอดเวลา

หลายๆส่วนในหนังยิ่งทำให้เกิดความเคลือบแคลงและสร้างอุปสรรคให้กับคุณภาพของหนังที่ลักลั่น ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงอย่าง จาเร็ต เลโต้ ที่หน้าสวยจนไม่น่าจะสู้รบกับใคร, ฟรานซิส บอช ที่อ้อนแอ้นราวกับผู้หญิงทำให้เรื่องเกย์ในหนังโดดออกมาอย่างง่ายๆ, โรเบิร์ต เออร์ลี่ย ที่รับบท ปโตเลมีวัยหนุ่ม แต่กลับไม่ทำให้เรารู้สึกร่วมไปได้ว่าเขาคือผู้เล่าเรื่องแทรกเข้ามาตลอดเลย หรือแม้แต่แอนโธนี่ ฮอพกินส์ ที่เหมือนถูกแกล้งให้มาเล่าเรื่องเพื่อเขียนบันทึกโดยไม่ได้ช่วยอะไรให้กับเรื่องราวไม่ว่าในทางเร่งเร้าหรือพักอารมณ์ งานออกแบบที่อยู่ในระดับดีแต่กลับไม่สามารถสร้างความแปลกใหม่ใดๆ ให้กับหนังทุนสูงขนาดนี้ สิ่งที่พอจะน่าชื่นชมอยู่สักหน่อยเห็นจะเป็นการกำกับภาพของ โรดริโก้ ปริเอโต้ ซึ่งแม้จะไม่สามารถให้ภาพที่สวยงามได้ในฉากธรรมชาติอันหลากหลาย แต่ก็สร้างอารมณ์แฟนตาซีในช่วงไคลแม็กซ์ได้อย่างน่าประทับใจ

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยังคงโดดเด่นในงานของเขาเสมอก็คือ การตั้งคำถามวิพากษ์สังคมโดยไม่ต้องเกรงกลัวใครที่ไหน ใน Platoon ลำพังดูเหมือนจะเป็นบทสรุปของสงครามเวียดนามได้อย่างครบถ้วน แต่เอาเข้าจริงสโตนก็ยังเดินหน้าทำ Born of The Fourth July และ Heaven and Earth จนมันกลายเป็นไตรภาคที่ทั้งสรุปและเป็นเชิงหยั่งคำถามถึงเหตุการณ์ดังกล่าวโดยไม่ลดละ, การสร้างคำถามกับเรื่องของผู้นำประเทศใน JFK, และ Nixon บทวิพากษ์สื่อมวลชนระดับเต็มเหนี่ยวใน Natural Born Killer หรือแม้แต่ U-Turn หนังฟิล์มนัวร์ ที่เขายังให้เราเห็นการตั้งคำถามต่อทางเลือกในชีวิตของตัวเอกอยู่หลายตอน

ใน Alexander สโตนยังคงตั้งคำถามกับมหาราชพระองค์นี้อย่างที่เขาอยากนำเสนอ เขานำเรื่องราวต่างๆมานำเสนอในประเด็นความขัดแย้งที่มีผลต่อพฤติกรรมของอเล็กซานเดอร์ขมวดทั้งหมดในช่วงท้าย ส่งผลให้เกิดฉากบีบคั้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ปมฆ่าพ่อจากเหตุการณ์ฝังใจที่ไม่อาจช่วยพระบิดาในการลอบปลงพระชนม์ได้ ความขัดแย้งกับพระมารดาที่เกลียดชังพระสวามี ความรักระหว่างหญิงและชาย ความฝังใจในเรื่องเทพปกรณัม ทบทวีไปกับความขัดแย้งของบรรดาทหารที่ถูกโทสะและความสับสนของพระองค์ การใช้เรื่องของเทพต่างๆ มาปะปน พฤติกรรมประหลาดของพระนางโอลิมเปียสในตอนต้น ไม่สูญหายเมื่อฉากในช่วงท้ายแสดงให้เห็นความสับสนของคนผู้แบกรับหลายสิ่งในชีวิตในโทนแฟนตาซีได้อย่างสมฝีมือ และคงไม่มีใครกล้านำเอาเรื่องดังกล่าวมาใส่ไว้ทั้งหมดลุ่นๆ แบบสโตนอีกแล้ว

สโตนสร้างคำถามสำคัญกับเรื่อง เขาทำให้เรามองอเล็กซานเดอร์เป็นผู้ที่จมอยู่กับความทุกข์ ท่ามกลางความขัดแย้งในชีวิตระดับมหาศาล ทั้งครอบครัว,สังคม,ความรัก,การต่อสู้ หรือรสนิยทางเพศ หลายต่อหลายครั้งที่การรบหนังปล่อยให้เราเห็นความพ่ายแพ้มากกว่าชัยชนะที่สมบูรณ์ ทำให้เกิดคำถามต่อสาระการค้นหาชีวิตที่อิสระของอเล็กซานเดอร์ การแสดงของโคลิน ฟาร์เรลที่แสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้าอย่างไม่ปิดบัง ยิ่งเมื่อหนังจบโดยให้ปโตเลมีสรุปแบบน่าเคลือบแคลงก็ยิ่งไม่ต้องสงสัยถึงสิ่งที่เขาต้องการนำเสนอ

มันคงจะดีกว่านี้หากนี่ไม่ใช่เรื่องของกษัตริย์ที่ได้ชื่อว่ามหาราชแห่งยุคอารยธรรมกรีก แต่เป็นเรื่องราวของคนในอเมริกาอย่างที่สโตนถนัด ที่สุดแล้วการทำหนังโดยนำข้อมูลสารพัดเพื่อบ่งบอกด้านลบของบุคคลที่ได้รับการยกย่องมายาวนาน โดยปราศจากข้อบ่งชี้ เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ารื่นรมย์อะไรนัก การสร้างคำถามแต่กลับไม่เปิดโอกาสให้ตีความพระองค์ในทางอื่นอย่างที่ควรจะเป็นกับหนังประวัติศาสตร์ก็แสดงให้เห็นชัดเจนในความแข็งกร้าวเกินความจำเป็น

Alexander ฉบับนี้ จึงกลายเป็นสนามรบทั้งภายนอกและในจิตใจ แบบที่สโตนเคยทำกับ Platoon, Wallstreet หรือแม้แต่ Any Given Sunday ไม่มีภาพของกษัตริย์ในอุดมคติ แต่เป็นปุถุชนที่มี่ดีและเลวขัดแย้งในตัว เพียงแต่เขาถนัดในการนำเสนออย่างหลังมากกว่า Alexander เลยกลายเป็นหนังอย่างที่เราเห็น และน่าจะให้บทเรียนราคาแพงแก่โอลิเวอร์ สโตนได้บ้างในการรับหนังมาทำสักเรื่อง





--------------------

November 25, 2004

Vampire Hunter D : Bloodlust ตรงกลางของนักล่าและผู้ถูกล่า

Vampire Hunter D : Bloodlust ตรงกลางของนักล่าและผู้ถูกล่า
6/10

อำนวยการสร้าง : มาซาโอะ มารุยาม่า, ทากะ นางาซาวะ
ผู้กำกับ : โยชิอากิ คามาจิริ, ปีเตอร์ มัก(กำกับร่วม)
บทภาพยนตร์ : โยชิอากิ คามาจิริ จากบทประพันธ์ของ ฮิเดยูกิ คิคูจิ
แผนกศิลป์ : โยชิทากะ อามาโนะ, ปีเตอร์ โช

user posted image

โลกของการ์ตูนญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นมังงะ หรืออนิเมะนั้นเป็นโลกที่ร่วมกันสร้างเอกลักษณ์ในผลงานอย่างไม่ปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นลายเส้น เนื้อหา การออกแบบตัวละครและฉากในเรื่อง ต่างสร้างความโดดเด่น แตกต่างจากการ์ตูนทางฝั่งตะวันตก และกลายเป็นอิทธิพลที่แผ่ขยายขึ้นเรื่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่ในอเมริกา

Vampire Hunter D : Bloodlust เองนั้นแม้จะไม่มีเนื้อหาที่คาบเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น ไม่มีตัวละครใดเป็นชาติอาทิตย์อุทัยแม้แต่น้อย แต่เราก็เห็นได้ชัดว่ามันคือการ์ตูนของประเทศนี้อย่างไม่ต้องสงสัย มิหนำซ้ำยังแสดงให้เห็นอิทธิพลของวัฒนธรรมในญี่ปุ่นที่สร้างเอกลักษณ์จากสิ่งอื่นได้อย่างชัดเจน ตัวหนังดัดแปลงจากนิยายยอดนิยมของ ฮิเดยูกิ คิคูจิ จากลายเส้นอันมีเอกลักษณ์สวยงาม ของ โยชิทากะ อามาโนะ จึงได้ถูกติดต่อเพื่อนำมาสร้างกลายมาเป็นภาพยนตร์การ์ตูนมาแล้วในปี 1985 จากการกำกับของ โทยู อาชิดะ ก่อนที่จะถูกนำมาสร้างอีกครั้งหลังจากได้รับความนิยมในแวดวงวิดีโอ และถูกสร้างอีกครั้งในปี 2000 โดย โยชิอากิ คามาจิริ(Animatrix ตอน โปรแกรม, Hell City Shinjuku) และ ปีเตอร์ มัก(Wicked City, All Night Long)

D หรือ ดันพีล นักล่าแวมไพร์ในยุคอนาคตที่ไม่ได้ระบุเวลา มนุษย์ตกอยู่ในฐานะผู้ล่าจากเหล่าแวมไพร์ ความแตกต่างของ D ก็คือเขาเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งแวมไพร์ ที่มีพ่อเป็นเจ้าแห่งผีดูดเลือดทั้งมวล งานล่าสุดเป็นการว่าจ้างเพื่อช่วย ชาร์ล็อตต์ ลูกสาวมหาเศรษฐีที่ถูกแวมไพร์ไมเออร์ ลิงค์ จับตัวไป ขณะเดียวกันเขาก็ต้องแข่งกับพี่น้องมาร์คัส กลุ่มนักฆ่าแวมไพร์ฝีมือดีที่ถูกว่าจ้างมาด้วยเช่นกัน

user posted image

หนังแสดงให้เห็นฝีมือของแต่ละฝ่าย D เป็นนักล่าที่คงเอกลักษณ์ของความโดดเดี่ยว เย็นชา เงียบขรึมภายใต้ชุดสีดำทั้งร่าง มีม้าคู่ใจกับปีศาจช่างพูดที่มือด้านซ้าย มีนิสัยตรงข้ามกับเจ้าของร่างด้วยความช่างพูด คอยโต้แย้งกับ D ตลอดเวลา ต่อสู้ด้วยเวทย์มนต์ร เพลงดาบ และฝีมือติดตัว ส่วนพี่น้องมาร์คัสเป็นเหล่านักล่าที่มารวมกลุ่มกันแต่ละคนต่างมีอาวุธไฮเทคผสมไสยเวทย์กันคนละแบบ หนึ่งในนั้นคือไลล่า หญิงสาวเพียงคนเดียวของกลุ่มที่ได้รู้จักกับ D จากคราวที่บาดเจ็บระหว่างออกตามล่าไมเออร์ เธอได้เริ่มพูดคุยกับเขาและเริ่มเปิดเผยอดีตและสานมิตรภาพแก่กันโดยไม่รู้ตัว


การตามล่ามีอุปสรรคขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ D และเหล่าพี่น้องมาร์คัสต้องโดนโจมตีโดยครึ่งคนครึ่งสัตว์ ที่เรียกกลุ่มตนเองว่าบาบารอยด์ อันเป็นกลุ่มที่สวามิภักดิ์ต่อไมเออร์ ความสามารถของบาบารอยด์ ทำให้นักล่าต่างตระหนักเช่นเดียวกับ D รู้ในตอนต้นแล้วว่านี่ไม่ใช่งานล่าแวมไพร์ง่ายๆ ที่พวกเขาคุ้นเคยอีกต่อไป

ในขณะที่โลกที่ปรากฎแม้จะเป็นโลกอนาคต มีอุปกรณ์ไฮเทคมากมาย หากก็ไม่ได้มีความสวยงามแต่อย่างใด หนังให้ภาพเปรียบความเลวร้ายด้วยอาคารในแบบโกธิค อันบ่งบอกถึงยุคมืดในอดีต สภาพบ้านเรือนที่ปรักหักพัง และหลายแห่งที่อากาศแห้งแล้ง ผืนดินเป็นทะเลทรายเวิ้งว้างไม่สิ้นสุด มนุษย์ไม่เป็นผู้ถูกล่าจากแวมไพร์ ก็ต้องกลายเป็นผู้ล่า สภาพชีวิตก็โหดร้ายไม่ต่างกัน เพราะผีดูดเลือดที่นักล่าเหล่านี้สังหารต่างก็เคยเป็นมนุษย์ทั้งนั้น โดยชี้ให้เห็นตั้งแต่เปิดเรื่องว่าไม่มีใครไว้ใจใครได้ แม้แต่มนุษย์ด้วยกัน D ถูกจ้างแต่ก็ไม่มีใครวางใจเขา

สิ่งเดียวที่ยังหล่อเลี้ยงชีวิตให้คงอยู่คือความรัก แม้ในเรื่องจะเป็นความรักที่ไม่ปรกตินัก แต่มันก็คือรักโดยไม่อาจปฏิเสธ ดังเช่นที่ชาร์ล็อตต์หญิงสาวที่ถูกลักพาตัวด้วยความเต็มใจ เพราะหลงรักแวมไพร์โดยบริสุทธิ์ แม้จะยังไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าเธอถูกล่อลวงด้วยความรักหรือเปล่า พ่อผู้ห่วงใยลูกสาวและยอมว่าจ้างการติดตามพาเธอคืนกลับมาด้วยค่าจ้างอันมหาศาล แม้อาจจะต้องเป็นเพียงร่างที่ไร้ลมหายใจก็ยินยอม หรือกรณีของ D กับ ไลล่า ที่ไม่ได้แสดงออกในทางชู้สาว แต่พวกเขาต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีสัญญาทางใจต่อกันที่ต่างคนไม่อาจลืมกันได้ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้อาจไม่ใช่หนทางที่เด่นชัด แต่ความรักที่เพื่อนมนุษย์มีให้กันไม่ว่าในลักษณะไหนก็งดงาม และต่อเวลาโลกมนุษย์ที่แห้งแล้งนั้นให้ชุ่มชื้นไปได้อีกนาน

งานของ ฮิเดยูกิ คิคูจิ แม้จะนำเรื่องราวแวมไพร์อันมีที่มาจากตำนานในยุโรป แต่ก็ดัดแปลงให้มันกลายเป็นเรื่องแนวไซไฟ-ทริลเลอร์ ด้วยการผสมผสานเรื่องสมัยเก่าและยุคอนาคตเข้าด้วยกันจนกลายเป็นโลกเฉพาะ เพิ่มเติมในส่วนหนทางการอยู่รอดของมนุษยชาติด้วยความรักเข้าไว้อย่างพอดิบพอดีเหมือนเช่นผลงานที่บ้านเราพอจะผ่านตาอยู่บ้างในรูปแบบมังงะ เรื่อง Hell City Shinjuku (นักล่าสุดขอบนรก) ซึ่งก็เป็นแนวไซไฟ-ทริลเลอร์ ที่มีเรื่องของผีดูดเลือด และการอยู่รอดด้วยความรักเช่นกัน

ขณะที่งานภาพของโยชิอากะ อามาโนะและทีมงานสร้างกลุ่มสตูดิโอ แม้ดเฮ้าส์ ซึ่งมีการผสมผสานบางส่วนด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิค สวยงามในความรุนแรง และมากด้วยสร้างสรรค์ แม้ใครที่เคยผ่านตาอนิเมะ หรืองานอนิเมชั่นของญี่ปุ่นมานับไม่ถ้วน อาจจะรู้สึกธรรมดากับไอเดียต่างๆ ที่หนังมีก็ตามจากลักษณะคล้ายคลึงที่เห็นจนชิน แต่ในตอนท้ายฉากสำคัญของเรื่องในปราสาทของแวมไพร์ไมเออร์ หนังก็ไปไกลถึงขั้นนำเสนอภาพวิจิตรราวกับงานศิลปะประกอบดนตรี ไปพร้อมๆ กับการเล่าเรื่องที่สื่ออารมณ์งดงามและน่าสยดสยองไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจัดเป็นความดีเด่นของงานภาพชนิดไม่อาจปฏิเสธได้

น่าเสียดายที่ Vampire Hunter D : Bloodlust ไม่ได้แสดงภาพที่ความขัดแย้งในสถานะผู้ล่าและผู้ถูกล่าของมนุษย์และแวมไพร์นัก แต่ละคนต่างห้ำหั่นกันตลอดเวลากลายเป็นแอ๊คชั่นต่อเนื่องยาวนานเกินพอดี ที่แม้หลายครั้งจะน่าตื่นตาในความคิดสร้างสรรค์ และสร้างความตื่นเต้นชนิดทัดเทียมกับภาพยนตร์ใช้คนเล่น แต่มันก็เป็นคมอีกด้านลดบทบาทการเล่าเรื่องอื่นๆ ทำลายสาระของเรื่องให้ดูเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ไปอย่างน่าเสียดาย ยิ่งกับหนังการ์ตูนญี่ปุ่นและเรื่องนี้ที่มักสร้างตัวละครบุคลิกเด่นๆ ออกมาอยู่ไม่ขาด ทำให้แต่ละคนถูกแบ่งบทบาทในแต่ละตอน จนเรื่องราวหลักๆ ระหว่าง D และไลล่า หรือ ชาร์ลอตต์ กับไมเออร์ มีปริมาณน้อยจนคนดูไม่อาจมีความรู้สึกร่วมอย่างแท้จริง

ส่วนที่ยังคงเสน่ห์อยู่ได้ นอกจากช่วงท้ายเรื่องที่เข้มข้น บุคลิกของตัวเอกอย่าง D ซึ่งสร้างสรรค์มาอย่างดีโดย คิคูจิ และอามาโนะนั้น ให้ท่าทางที่ดูเย็นชา ปิดบังนั้น เราสามารถสัมผัสถึงหัวใจอันละเอียดอ่อน ซึ่งต้องผ่านเรื่องราวความเจ็บปวดได้ การบอกเล่าอดีตที่มาโดยเปิดช่องว่างให้เราตีความ และทำให้ภารกิจ การผจญภัยของเขาในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้กับปีศาจ แต่เป็นการต่อสู้กับตัวเขาเองอีกด้วย




--------------------