September 30, 2004

Love Me If You Dare : คู่รักฉบับเอ๊กซ์ตรีม

Love Me If You Dare : คู่รักฉบับเอ๊กซ์ตรีม
6/10
user posted image




I thought that love was just a word
sung about in songs I heard
feelings could reveal that I was wrong
and it was real

Hold me close and hold me fast
the magic spell you cast
this is la vie en rose
when you kiss me heaven sighs
and tho I close my eyes
I see la vie en rose

When you press me to your heart
I'm in a world apart
a world where roses bloom
and when you speak, angels sing from above
everyday words seem to turn into love songs
give your heart and soul to me
and life will always be
la vie en rose


ขอเปิดด้วยเพลง La Vie En Rose เวอร์ชั่นของ Donna Summer ใครที่ได้ชม Love Me If You Dare มาต้องสามารถฮัมเพลงนี้ได้แน่นอน เพราะหนังเปิดและเล่นกับเพลงนี้ตลอดทั้งเรื่อง เพลงนี้เป็นเพลงอมตะอีกเพลงซึ่งมีหลากหลายแบบให้ได้ฟังกันทั้งเนื้อร้องและการเรียบเรียง ตัวหนังก็เลือกที่จะใช้หลากหลายเนื้อร้องมาดำเนินเรื่องก่อนจะแปรเปลี่ยนให้มันเป็นเนื้อเพลงรักหวานๆ แบบเนื้อเพลงข้างบน เราก็ได้เห็นจูเลียงและโซฟีโลดแล่นไปพร้อมกับเพลงนี้ด้วยวัย ความสัมพันธ์ และเกมที่พวกเขาเล่นหลายรูปแบบเช่นเดียวกัน

Love Me If You Dare หรือ Jeux d’enfants เล่าความสัมพันธ์ของชายหญิง คือ จูเลียง(กูอิลโลเม่ คาเน่ต์) และโซฟี(มาริยอง โคทิลารด์) เติบโตมาในละแวกเดียวกัน ในวัยเด็กทั้งเขาและเธอมีปัญหาทั้งคู่และทำให้สนิทกันรวดเร็วราวกับรู้ใจ จูเลียงมีแม่ที่รักเขาซึ่งป่วยหนัก กับพ่อที่เข้มงวดคอยเจ้ากี้เจ้าการเด็กซนอย่างเขา ขณะที่โซฟีเป็นชาวโปแลนด์ ซึ่งถูกเหยียดหยามแม้แต่เด็กด้วยกัน พวกเขาเริ่มรู้จักกันด้วยเล่นเกมช่วยเหลือกันของแต่ละฝ่าย นานวันเข้ามันก็บานปลาย พวกเขาเล่นเกมและสนิทสนมราวกับตัวติดกัน และก่อความอิดหนาระอาใจแก่ผู้ปกครองและครูอยู่เสมอ จนวันหนึ่งเมื่อแม่ของจูเลียงได้จากไป พ่อเขาตัดสินใจให้จูเลียงและโซฟีมาอยู่ในบ้านเดียวกัน โดยหวังว่าพวกเขาจะเลิกพฤติกรรมกล่าวลงได้เมื่อโตขึ้น แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นคลื่นใต้น้ำ ที่นานวันเข้ามันพวกเขาก็โถมแรงคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าเช่นเดิม พ่อตัดสินใจให้จูเลียงเลือกทางเดินชีวิตของตน หลังจากที่เขาและโซฟีเพิ่งรู้ว่ารักกัน ซึ่งมันก็ดูเหมือนมันจะสายเกินไปเสียแล้ว

บุคลิกของจูเลียงนั้นฉายแววทันทีตั้งแต่เขาเริ่มเล่าเรื่อง มันเป็นการบอกทันทีว่าเกมต่างๆที่เขาเคยเล่นมาน่าเบื่ออย่างยิ่ง และเกมสุดท้ายที่เขาเลือกนั้นสนุก ตื่นเต้นกว่าทุกเกมที่ใครเคยมา และหลังจากที่เขาเลือกโซฟี กระดูกคู่ที่เล่นเกมเพื่อทำลายกฎเกณฑ์ทางสังคมสารพัด ชีวิตของพวกเขาก็วิบัติอยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนในระดับต่างๆ , ครอบครัว, หน้าที่การงาน รวมไปถึงชีวิตคู่ ช่วงหลังของหนังชี้ให้เห็นว่าพวกเขาต้องทำตามกฎของสังคมและคล้ายจะเลิกเล่นเกมกันไปแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่เราจะได้เห็นพวกเขาทำอะไรราวกับเกมสนุกๆ เหมือนเด็กแม้จะเลยวัยมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนิสัยโทรศัพท์หาพ่อแต่ไม่พูด ,การโกหกในตอนทำงาน รวมไปถึงการคิดอะไรแรงๆ ของจูเลียง ด้านโซฟีเองก็ไม่น้อยหน้า เธอเลือกใช้ชีวิตเกี่ยวข้องกับเกมอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงการตัดสินใจที่ไม่เห็นแก่หน้าใครราวกับเป็นความสนุก

แรกเริ่มเดิมทีของหนังเรื่องนี้ ใครที่ได้ดูคงนึกถึงว่ามันเป็นหนังรักที่มีอารมณ์โหยหาอดีต(Nostagia)ผสมผสานลงไป นานเข้าหนังก็เริ่มเปลี่ยนอารมณ์ใหม่จนนึกว่าจะกลายเป็นหนังรักที่เล่าเรื่องตัวละครที่เติบโตขึ้น กลายเป็นหนังก้าวข้ามพ้นวัย(Coming of Age) ไปเสีย แต่โดยเนื้อแท้ นี่เป็นหนังประเภทคู่แท้(Soulmate) ที่มีระดับ Extreme ได้เลย จูเลียงและโซฟีเรียนรู้ในความรักของเขาและเธอด้วยเกม แต่เขาก็ต้องพลัดพราก สูญเสีย สุขและทุกข์ในรักที่พวกเขามีด้วยกันยาวนาน ก็เพราะเกมอีกนั่นเอง

ผู้ชมหลายคนอาจรับไม่ได้กับเกมส์ที่พวกเขาเล่น เพราะมันมีระดับที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หนักข้อถึงขั้นคอขาดบาดตายเข้าไปทุกที จนหนังมีสภาพจากหนังตลกโรแมนติค กลายเป็นหนังตลกร้ายไปเลย ซึ่งผมเชื่อว่าคนที่อึดอัดกับเรื่องราวในหนังต้องมีคำถามเป็นแน่แท้ว่า “สิ่งที่ทั้งคู่ทำเรียกว่ารักแน่หรือ”

เงื่อนไขสำคัญของ Love Me If You Dare ก็คือมันเป็นหนังหลีกหนีความจริงที่อิงกรอบจากโลกแห่งความเป็นจริง ด้วยรูปแบบการนำเสนอที่เน้นหลักการ “ชีวิตคือเกม” ซึ่งหนังก็บ่งชี้อยู่เนืองๆว่าเป็นเรื่องที่หลีกหนีความจริงอย่างยิ่ง เพราะจริงๆ แล้ว โลกที่จูเลียงและโซฟีอยู่นั้นก็มีหลักการแบบเดียวกับโลกแห่งความจริงที่ว่า “ชีวิตต้องทำตามกฎ” แม้เกมที่พวกเขาเล่นจะมีกติกาก็ถือว่าน้อยเต็มที่(ตามปรกติเกมทั่วไปก็มักมีกฎกติกาหยุมหยิม เพื่อฝึกฝนให้รู้จักโลกแห่งความจริง) เพียงแค่พวกเขาเลือกที่จะท้ากันแหกกฎว่า “เกม-ไม่เกม” ใครที่รับคำท้าเกมของพวกเขาก็จะเริ่มเล่นทันที(ซึ่งส่วนใหญ่ก็รับเล่นซะด้วย)

เรื่องจึงไม่ได้พยายามให้เรายอมรับความจริง หรือกฎเกณฑ์ในสังคม มันบอกให้เราเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อมั่นในรัก เพราะรักไม่มีเกณฑ์ใดๆ มาเป็นกฎ แม้แต่เกมที่พวกเขาเล่นก็มากำหนดไม่ได้

สิ่งที่ผมชอบมากใน Love Me If You Dare ไม่ใช่อารมณ์ขันแรงๆ ที่หนังเล่นกันไม่ยั้ง แต่เป็นการเปรียบเปรยการเล่นเกมกับความสัมพันธ์แบบชีวิตคู่ได้น่าสนใจ เริ่มจากเกมที่ทำให้เกิดมิตรภาพ ทำให้เกิดความสนุก ทำให้พวกเขาหลุดกรอบจากความเป็นจริงที่ทุกข์ทน ใช้เกมเพื่ออยู่ในกรอบของสังคม ใช้เพื่อแก้แค้นใครต่อใคร จากเพื่อรักกันจนกลายมาเป็นเกมที่ใช้ทะเลาะกัน เลิกรากัน และกลับมาเจอกันอีกครั้ง ชีวิตคู่จริงๆ ของใครหลายคนที่เริ่มก่อตัวจากความเป็นเพื่อน จากลิ้นกับฟันที่หาเรื่องกันได้ทุกครั้ง มันแปรความสัมพันธ์ให้ยั่งยืน หล่อหลอมจนตัดกันไม่ขาด ในส่วนนี้ต้องถือว่าหนังประสบความสำเร็จทีเดียวที่ทำให้เห็นความรู้สึกแบบนี้ได้

ส่วนปมชีวิตของทั้งสองนั้นถูกเล่าผ่านตัวจูเลียงมากกว่า ในฐานะที่พวกเขาเป็น "เด็กที่ไม่รู้จักโต" ด้วยกันทั้งคู่ ตามหลักจิตวิทยานั้นพอโตขึ้นปมของเด็กนั้นจะหายไปเอง แต่เนื่องจากทั้งคู่ยังมองโลกแบบยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ชีวิตพวกเขาจึงยังเล่นเกมแบบเด็กไม่สนใจใคร ซึ่งหากจะมองตามความเป็นจริง ชีวิตคนเราหลายๆคนก็ไม่ได้ทิ้งปมนี้ หากแต่เก็บซ่อนในส่วนลึกเพื่ออยู่กับสภาพสังคมก็มีไม่น้อย

น่าติดตามผลงานต่อไปของผู้กำกับและเขียนบทร่วม แยนน์ ซามูเอล เพราะเพียงแค่ผลงานชิ้นแรก นอกจากแสดงให้เห็นชั้นเชิงที่เก่งกาจในเทคนิคและการเล่าเรื่อง ก็ยังแสดงให้เห็นอีกว่าเขามีความเข้าใจในชีวิตพอควรทีเดียว แม้ว่าตัวหนังจะลักลั่นในส่วนของอารมณ์ขันแรงๆ หรือความเป็นแฟนตาซีที่ยังไม่เข้ารูปเข้ารอยพอดีทุกครั้ง(ส่วนนี้อาจเข้าทางคนฝรั่งเศส จนทำประสบความสำเร็จในประเทศบ้านเกิด ซึ่งน่าจะมาจากหนังถูกนิสัยของคนที่นั่นซึ่งพิสมัยการใช้ชีวิตอย่างเสรีเต็มที่) รวมไปถึงการบอกปมทางใจของจูเลียงและโซฟีให้กับคนดูทราบแบบขาดชั้นเชิงไปหน่อย

นอกเหนือจาก La Via En Rose ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในหนังที่ไม่ได้เป็นนักแสดง ยังมีตัวละครอีกคนหนึ่งที่อยู่ให้เราเห็นมาตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง มันเป็นกล่องใบหนึ่งซึ่งแม่มอบให้จูเลียง สีสันสวยงามมันใช้เพื่อทดแทนให้จูเลียงที่แม่ไม่สามารถพาไปเล่นที่ไหนได้ หลังจากเขาต้องจากแม่ไป มันกลับกลายเป็นตัวแทนของความสูญเสีย เมื่อเขาและโซฟีโตขึ้น พวกเขายิ่งเล่นเกมกันหนักข้อเท่าไหร่ มันก็ยิ่งบุบสลายเพราะการปล่อยปละละเลยมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่มันอยู่ใกล้พวกเขามากที่สุดแทบทุกขณะ จนเมื่อวันหนึ่งเรามองเห็นกล่องใบนี้อย่างใคร่ครวญ มันมิใช่ความสูญเสีย มิใช่เพียงสิ่งของที่ใช้เพื่อระบายโดยมิปริปากบ่น

กล่องใบนั้นคือตัวแทนของคำว่า “ความรัก” นั่นเอง

September 27, 2004

Saw เกมต่อชีวิต

Saw เกมต่อชีวิต


(6/10)

กำกับ : เจมส์ หวัน
บทภาพยนตร์ : ลีห์ วันแนล(จากเรื่องของเขาและ เจมส์ หวัน)
นำแสดง : ลีห์ วันแนล, แครี่ เอลเวส, แดนนี่ โกลเวอร์, โมนิก้า พอตเตอร์
ดนตรีประกอบ : ชาร์ลี เคราส์เซอร์
กำกับภาพ : เดวิด เอ.อาร์มสตรอง
ตัดต่อ : เควิน กรูเติร์ท





ทันทีที่หนังเปิดเรื่องขึ้น เราพบว่ามีชายสองคนตื่นขึ้นมาในห้องน้ำสกปรกห้องหนึ่ง ทั้งคู่จำเรื่องราวแต่หนหลังก่อนจะมาอยู่ในห้องนี้ได้อย่างพร่าเลือนเต็มทน ทั้งคู่ได้แก่ ดร.ลอวเรนซ์ กอร์ดอน(แครี่ เอลเวส) และ อดัม(ลีห์ วันแนล) อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขารับรู้ต่อมาก็คือพวกเขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่ข้อเท้าข้างหนึ่งทั้งคู่ มิหนำซ้ำห้องดังกล่าวยังมีศพนอนจมกองเลือดน่าสะอิดสะเอียน มือหนึ่งถือเครื่องเล่นเทป อีกข้างหนึ่งถือปืน



กอร์ดอน ค่อยๆ รำลึกถึงเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงก่อนหน้านี้ และพบว่าเขาเคยได้ประสบกับเหตุการณ์คล้ายคลึงจากการพัวพันในการก่อคดีฆาตกรรมของฆาตกรโรคจิตที่มีฉายานามว่า “จิ๊กซอว์” ซึ่งมีเป้าหมายให้เหยื่อแต่ละคนซึ่งต่างถูกคัดเลือกในแง่ของผู้ที่หลงตนเองต่างๆ กันไป ตั้งแต่โลภมาก, เจ้าสำอาง, ขี้ยา มาถูกกักขังและต้องทำตามเงื่อนไขของเกมที่เขาสร้างขึ้นในเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นยาพิษจะออกฤทธิ์จนเขาเหล่านั้นตาย เหตุก็เพราะให้พวกเขาตระหนักในคุณค่าแห่งชีวิต



ตัวอย่างของเหยื่อผู้รอดตายคนหนึ่ง คือเธอตื่นขึ้นมาพบตัวเองถูกครอบหน้ากากเหล็กไว้อย่างแน่นหนามิดชิด และถูกมัดติดกับเก้าอี้ พลันที่ลืมตาตื่นขึ้นก็พบวิดีโอแจ้งจากผู้ร้ายว่าต้องหาทางไปเอากุญแจในห้องเพื่อไขหน้ากากออกมา มิฉะนั้นส่วนที่ยึดกับขากรรไกรของเธอจะง้างฉีกปากและใบหน้าเธอเป็นชิ้นๆ !!







กอร์ดอนถูกเลือกในฐานะหมอที่ให้ชีวิตกับผู้อื่นแต่กลับไม่เคยมองดูคนอื่นในฐานะของคนทั่วไปเช่นกัน ส่วนเหยื่อของเขาคืออดัม ก็มีเงื่อนงำที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาอีกด้วย กอร์ดอนต้องทำตามเงื่อนไขที่จิ๊กซอว์กำหนดคือฆ่าอดัมเสีย มิฉะนั้นภรรยา(โมนิก้า พอตเตอร์)และลูกสาว(แมคเคนซี่ เวก้า)ของเขาที่ถูกจับจะต้องจบชีวิตแทน ทั้งคู่ต่างเลือกที่จะปิดความลับกันทีละนิดละหน่อย เพื่อเป็นข้อได้เปรียบของแต่ละฝ่าย ขณะเดียวกันภายนอกดูเหมือนจะฉาบด้วยการช่วยเหลือกันเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดในสถานการณ์เลวร้ายที่ประสบ ความมืดดำที่ก่อตัวเงียบๆ กับความพยายามอย่างมีสติและจริยธรรมของพวกเขา อย่างไรจะชนะ และพวกเขายังต้องคลี่คลายปริศนาของคนร้ายอีกด้วย



อีกด้านหนึ่ง แทปป์(แดนนี่ โกลเวอร์) ตำรวจที่กำลังติดตามคลี่คลายคดีของจิ๊กซอว์ หลังจากเคยหมายจับกอร์ดอนในฐานะผู้ต้องสงสัย ก็ดำเนินการสืบสวนมาจนถึงจุดที่ใกล้ความสำเร็จเข้ามาทุกที เมื่อพบข้อมูลสำคัญหลายอย่าง ตัวเขาก็ถือเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดชะตาชีวิตของทุกคนไม่น้อยกว่าใคร



Saw เป็นหนังสืบสวน-สยองขวัญ ที่มีเนื้อเรื่องผสมผสานระหว่างการตัดสินผิดบาปของมนุษย์ราวกับทำตัวเป็นพระเจ้าของฆาตกรใน Seven , การหาทางออกแก้ปริศนาในห้องปิดตายแบบเรื่อง Cube, ภาพสยองขวัญที่ออกแบบราวกับหลุดเข้าอยู่ในพวกรสนิยมซาโด-มาโซคิสม์ อย่าง Hellraiser นี่เป็นงานกำกับเรื่องแรกของ เจมส์ หวัน และเป็นการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องแรกเช่นเดียวกันของ ลีห์ วันแนล(นักแสดงที่มีบทสมทบใน The Matrix Reloaded) โดยใช้ทุนสร้างหนังต่ำมากคือประมาณ 1 ล้านเหรียญ หากมองเพียงเท่านี้ก็ถือว่าหนังประสบความสำเร็จเพียงพอแล้วกับการสามารถทำให้หนังที่มีอารมณ์น่าอึดอัด ชวนตื่นเต้นและติดตาม ในบรรยากาศสยองขวัญแบบแหวะๆ ซึ่งเอาเข้าจริงก็มีหนังในฝั่งอเมริกายุคหลังไม่กี่เรื่องที่ทำได้



แม้หนังจะน่าปวดหัวไม่น้อยในการใช้สปีดภาพ, การตัดต่อฉับไวราวกับมิวสิควิดีโอ, การถ่ายภาพที่มืดมัว และชวนสยองอยู่บ่อยๆ รวมไปถึงเทคนิคการสร้างความน่ากลัวที่เราคุ้นชินจากหนังหลายเรื่องอาทิ Seven, Silence of The Lamb หรือกระทั่ง Ringu แต่กระนั้นก็ตามการกำหนดจังหวะที่ได้ผลนั้นก็ต้องเป็นเรื่องความสามารถของหวันโดยแท้



คำว่า Saw นอกจากจะใช้แทนชื่อของฆาตกร ยังอาจหมายถึงอุปกรณ์ที่อดัมและกอร์ดอนเจอในห้องคือ เลื่อย และยังหมายถึง การเคยเห็น(saw) หรือการมองย้อนไปพบกับตัวตนของพวกเขาเพื่อเสาะหาความจริง และรำลึกในผิดบาปของตนได้ในขณะเดียวกัน



เห็นได้ชัดว่าการกำหนดเรื่องในห้องปิดตายเป็นการฉลาดยิ่งในการสร้างหนังทุนต่ำ อย่างไรก็ตามการกำหนดเรื่องให้อยู่แต่สถานที่เดิมเป็นหลักก็เป็นดาบสองคมเพราะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายง่ายมาก ลีห์สอบผ่านในการทำให้เราได้ลุ้นไปกับตัวละครได้ตลอดเรื่อง การเล่นกับภาวะทางอารมณ์และจิตใจของตัวละครในสถานการณ์คับขันขึ้นเรื่อยๆ ต้องถือว่าหนังทำออกมาได้น่าชมเชย



แก่นเรื่องในแง่ของคุณค่าของชีวิตไม่ใช่แค่มีอย่างลอยๆ แต่มันเกี่ยวข้องกับตัวละครได้อย่างดี กอร์ดอนเป็นหมอที่ไม่สนใจครอบครัวนัก อาชีพของเขาทำให้เขามีลักษณะราวกับพระเจ้าผู้กำหนดชะตาชีวิตคน เขาหลงลืมตนทั้งจริยธรรมและความประพฤติโดยฉาบเคลือบไว้ด้วยหน้าที่อันมีเกียรติอย่างหมอ แต่แท้จริงแล้วเขาก็เป็นปุถุชนธรรมดา แม้เราจะเห็นเขาพยายามหาหนทางที่ดีกว่าการทำตามผู้ร้าย แต่ด้านมืดในตัวเขาก็เผยขึ้นทุกทีเช่นเดียวกับที่จิ๊กซอว์มองเห็น การมองไม่เห็นคุณค่าชีวิตของครอบครัว และตนเองที่ฆาตกรต้องการสอนสั่งจึงแสดงพลังของมันออกมาอย่างเด่นชัดในช่วงท้าย



อย่างไรก็ตามแม้ ลีห์ จะสามารถกำหนดสถานการณ์ต่างๆ กับแง่คิดที่น่าสนใจ Saw เองก็มีรูโหว่ที่ปิดไม่มิดในการเฉลยเรื่องตอนท้ายแบบขอไปที เพียงย้ำสาระเรื่องคุณค่าของชีวิตให้เด่นชัดจนขาดความสมเหตุสมผล ในขณะที่ช่วงท้ายของหนังที่ตัวละครมีอารมณ์หนักหนาขึ้นไปทุกที การปูพื้นเรื่องราวของตัวละครก็ดูจะไม่เพียงพอกับการกระทำที่เกิดขึ้นของทั้งคู่ได้ดีนัก และแน่นอนที่สุดก็ด้วยบทสนทนาพื้นๆ ที่หลุดมาบ่อยๆ เพียงเพื่อบอกอุปนิสัยใจคอ ความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละฝ่าย แบบง่ายไปหน่อย ก็ทำให้หนังซึ่งต้องอาศัยผู้พิสมัยหนังสยองขวัญหนักๆ อันมีกลุ่มทีไม่ใช่วงกว้าง ต้องใคร่ครวญถึงคุณภาพที่หนังมีให้ไม่มากก็น้อย

โดยส่วนตัวจุดมุ่งหมายของ Saw อย่างน้อยต้องถือว่าประสบความสำเร็จของการเป็นหนังสยองขวัญ และสืบสวนสวนไปพร้อมๆกัน เพียงแค่หนังทำให้เราติดตามได้ตื่นเต้น ผวา สะอิดสะเอียนอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องถือว่าเจมส์ หวัน ได้กลายเป็นผู้กำกับที่น่าสนใจอีกคนแล้ว กับการอุดรูโหว่ในเรื่องและบทหนังไว้ได้ ซึ่งรวมไปถึงทีมงานอย่างการกำกับภาพที่หม่น และลีลาฉูดฉาด การตัดต่อที่ฉับไวได้จังหวะในช่วงที่ต้องการ และดนตรีประกอบแบบอินดัสเทรียลที่เข้ากับการออกแบบฉากในเรื่อง ฉากสยองขวัญ และตัวฆาตกรที่ใส่หน้ากาก มันอาจไม่ใช่หนังดีเลิศ ถึงพร้อม แต่ก็มีองค์ประกอบดีๆ หลายด้านที่ไม่น่ามองข้ามเช่นกัน



ว่าแต่คุณเองก็เถิดครับ เข้าข่ายมนุษย์ผู้ลืมตนเช่นเดียวกับตัวละครในเรื่องหรือเปล่า