February 12, 2002

The Way Home : ทางกลับบ้านที่หลายคนหลงลืม



The Way Home : ทางกลับบ้านที่หลายคนหลงลืม



ก่อนที่จะเข้าเรื่องผมขอพูดเรื่องส่วนตัวสักนิดด้วยความประทับใจภาพยนตร์ชิ้นนี้มาก จึงต้องขอกล่าวถึงอคติบางอย่างที่เกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวซึ่งอาจจะทำให้ข้อเขียนมีส่วนลำเอียงอยู่ไม่น้อย ซึ่งอีกส่วนหนึ่งก็มาจากในรอบที่ผมได้ชมภาพยนตร์เรื่อง The Way Home มีคนดูเพียง 6 คนเท่านั้นทำให้ยิ่งเห็นใจว่าทำไมหนังดีๆอย่างนี้คนดูถึงได้น้อยนัก



ผมมีอาม่าคนหนึ่ง ซึ่งท่านมาคอยอยู่เฝ้าบ้านช่วยที่ผมไปเรียนหนังสือ แม้ท่านจะสุขภาพไม่ดีด้วยโรคประจำตัวคือเบาหวาน ท่านก็ยังอุตส่าห์มาพักรักษาอยู่ที่บ้านผมเป็นเวลาร่วม 5 -6 ปีได้ระหว่างช่วงนั้นต้องยอมรับว่าเราสื่อสารกันได้ยากมากเพราะผมไม่มีความรู้ด้านภาษาจีนที่เป็นภาษาของชนชาติเดิมตามประสาเด็กคนจีนสมัยใหม่หลายคน



ผมก็พอจะช่วยดูแลท่านตามความสามารถของเด็ก ไม่ได้ใส่ใจนักว่าท่านจะเหนื่อยหน่ายแค่ไหนกับสิ่งที่ทำ บางครั้งก็อดนึกท้อเช่นกันที่เราพูดกันไม่รู้เรื่อง และทัศนคติเรื่องเล็กๆน้อยๆในชีวิตมันช่างต่างกันเหลือเกิน



ปัจจุบันเวลาผ่านไปจากนั้นอีก 6 ปี ท่านนอนเจ็บอยู่โรงพยาบาลเข้าๆออกๆ สามวันดีสี่วันไข้ ขยับไปไหนไม่ได้ สื่อสารกับใครก็แทบไม่ได้อีกแล้ว เพราะอาการของเบาหวานมันถึงขั้นร้ายแรงเกินเยียวยา วันนี้ผมช่วยอะไรท่านไม่ได้แม้ใจคิดอยากจะทำก็ไม่มีปัญญา นอกจากไปเยี่ยมและไม่สามารถสื่อสารกันได้หวนคิดอีกทีทำไมในวันที่เราสามารถสื่อสารกับท่านได้สักเล็กน้อยถึงไม่ทำ ไม่ดูแลท่านให้ดีกว่านี้ บางที...ท่านอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันผมแค่อยากจะบอกว่า...ทำดีกับคนใกล้ตัวของท่านให้มากที่สุดเถิดครับ เพราะความที่ใกล้กันมากทำให้เราขาดความใส่ใจ แต่วันข้างหน้าชีวิตมันจะเล่นตลกอะไรกับเราบ้าง เราจะมีโอกาสได้ทำสิ่งที่เราแค่คิดไหม เพราะฉะนั้นอย่ามัวคิดครับ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดดีกว่า...










มาพูดถึงเรื่องหนังกันดีกว่าครับ



หนังเปิดเรื่องในรถทัวร์ แม่พาซังวูเด็กยุคใหม่จากเมืองหลวงมาอยู่กับยายในชนบทที่ห่างไกล ซึ่งเป็นแม่ของเธอเองที่ได้ทิ้งไปเนิ่นนานโดยไม่ได้ติดต่อ ด้วยพิษเศรษฐกิจและปัญหาครอบครัวที่ย่ำแย่เต็มทนเธอจึงกลับมาแม้จะเป็นเรื่องราวตอนต้นหนังก็ค่อยๆเล่าแสดงให้เห็นภาพของคนชนบทผู้นั่งในรถอย่างแออัดแต่เปี่ยมสุข ผู้คนยังประกอบอาชีพเกษตรกรรมไม่ต่างจากภาพที่เห็นจนเจนตาในต่างจังหวัดบ้านเราแม่ฝากซังวูพร้อมข้าวของเสร็จก็จากไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์ใดใด



น้ำตาที่เธอร้องไห้เป็นน้ำตาจากปัญหาชีวิตของเธอ ส่วนน้ำตาที่เหลือเธอปล่อยให้คนดูร้องไห้จากเรื่องของยายกับหลานที่เธอปล่อยทิ้งไว้ !



ยายเป็นใบ้ ชนบทที่นี่ห่างไกลจากคำว่าเจริญของเมืองโดยสิ้นเชิง หนังเองไม่รีรอเลยที่จะบอกซังวูเด็กตัวแสบไม่ชอบที่นี่ และแน่นอนว่าเขาไม่ชอบยายผู้เป็นใบ้คนนี้แต่ละคืนๆผ่านไป ซังวูไม่เคยสนใจยายนอกจากของเล่น เกมส์กด และอาหารกระป๋อง ยามที่เขาด่าว่ายาย ท่านได้แต่เอามือลูบหน้าอกซึ่งเขาไม่เข้าใจ แม้แต่เด็กวัยเดียวกันในแถบนั้นเขาก็ไม่เคยคิดสนิทสนม



เรื่องเกิดขึ้นจนได้เมื่อถ่านไฟฟ้าในเกมส์กดหมด ยายไม่มีเงินให้เขาซื้อถ่านก้อนใหม่เขาจึงแกล้งยายอย่างไม่ไยดี ตัวเขาเองก็หาทางไปซื้อถ่านจนหลงทางกลับมาและนั่นถือเป็นฉากที่แสดงความเป็นเด็กจริงๆของซังวูให้เราเห็นครั้งแรกแต่เหตุการณ์ที่ทำให้ซังวูเริ่มใกล้ชิดกับยายอย่างแท้จริงคือการที่เขาอยากกินไก่ทอดเคเอฟซี แต่สิ่งที่ยายลงทุนลงแรงไปหาซื้อและมาทำ กลับเป็นไก่ต้มเท่านั้น ซังวูโวยวายร้องไห้แต่กินด้วยความหิว ขณะที่ยายล้มป่วยลง เขาจึงต้องคอยดูแลอยู่ชิดใกล้เสมือนเป็นการขอโทษในสิ่งที่ทำอยู่กลายๆ แม้จะไม่ได้เป็นไปด้วยความละเอียดอ่อนนักเรื่องทำท่าว่าจะดี ซังวูเริ่มสนิทสนมกับเซียวลี และแฮยินเด็กชนบท แต่เมื่อยายพาหลานตัวดีเข้าย่านค้าขายแถบนั้น เขาก็เริ่มแผลงฤทธิ์ความเอาแต่ใจอีกครั้ง ยายขายของจากการเพาะปลูกเล็กๆน้อยๆ เพื่อให้หลานคนนี้ใช้จ่ายตามความพอใจ



สังเกตในเหตุการณ์ช่วงนี้ว่าจริงๆแล้ว ซังวูก็เริ่มรู้สึกตัวว่าเขาเองก็ไม่ได้มีความสุขอย่างแท้จริงเมื่อได้รองเท้า หรืออาหารอร่อยๆ มันเป็นเพียงการแสดงอำนาจที่เขาคิดว่าตนมีเท่านั้น หากมันเป็นเพียงสิ่งที่ปกปิดสภาพแท้จริงของเด็กตัวเล็กๆซึ่งยังอ่อนแอนักต่อโลกแปลกถิ่น



บรรยากาศหลังจากนี้แม้ซังวูจะดีกับยายมากขึ้น แต่เขาก็ยังเอาแต่ใจไม่เลิก ไม่ว่าจะเป็นการขอเปลี่ยนทรงผม สนุกกับการเป็นคนโกหกอย่างฮึกเหิมลำพอง ความอยากได้ในวัตถุอย่างขนม หรือตุ๊กตาสมัยใหม่ และใครจะไปคาดคิดว่าเขายังกุมอำนาจการมีรถเข็นล้อเลื่อนเพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องขมวดเข้าเมื่อซังวูได้รับอุบัติเหตุในตอนท้าย และทำให้เขาค้นพบความจริงบางอย่างที่ยายทำเพื่อเขา แต่กว่าซังวูจะสำนึกก็ดูเหมือนจะช้าไปเสียแล้ว



หนังปิดท้ายด้วยการกระทำที่น่ารัก และประทับใจของซังวูที่จิตใจของเขาได้พัฒนาไปอีกขั้นแล้ว ก่อนที่จะเป็นภาพการเดินอย่างเชื่องช้าของคุณยายค่อยๆเดินกลับบ้าน และจบด้วยคำว่า "ภาพยนตร์เรื่องนี้ อุทิศแด่ผู้เป็นยายทุกคน"



ไม่แปลกหากจะบอกว่า The Way Home เป็นงานเมโลดราม่าเรียกน้ำตา แต่หนังก็ทำได้ถึงขั้นเยี่ยมยอด ผู้กำกับหญิง ลีจองฮัง ประสบความสำเร็จในผลงานชิ้นที่สองในการถ่ายทอดเรื่องราวเก่าๆที่คนดูคุ้นชินได้อย่างเป็นธรรมชาติเหลือเกิน เธอสามารถคุมจังหวะการสร้างอารมณ์สะเทือนใจในเรื่องอย่างไม่ฟูมฟายทั้งที่โดยเนื้อเรื่องแต่ละเหตุการณ์เอื้ออำนวยอยู่มาก หากเธอค่อยๆสร้างอารมณ์กับคนดูที่ละน้อย สอดแทรกมุขตลกเป็นระยะแม้ในฉากที่น่าสะเทือนใจ พร้อมๆกับเสนอสาระของหนังที่คาบเกี่ยวธรรมชาติและชนบท



และต้องถือว่าเธอยังกล้าหาญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่ง กับการเอาเรื่องที่เหมือนคนจะหลงลืมบนแผ่นฟิล์มแล้วมาสร้างขยายผลได้อย่างจริงๆจังๆขนาดนี้หนังใช้นักแสดงส่วนใหญ่ทั้งหมดเป็นชาวบ้านจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวดำเนินเรื่องหลัก ยูซังโฮเด็กที่แสบอย่างร้ายกาจ แต่พอถึงช่วงที่เขาร้องไห้ขี้แยประสาเด็กเราก็อดที่จะรักและเอ็นดูเขาไม่ได้เช่นกัน คิมยูบุน คุณยายใบ้ในเรื่องซึ่งการแสดงแบบธรรมชาติของเธอ ทำให้เรื่องราวที่เกิดดูสมจริงและน่าเชื่อถือ รวมไปถึงความน่าเห็นใจจากการกระทำ หรือท่าทางเล็กๆน้อยๆ



ส่วนที่น่ายกย่องชมเชยตามลำดับคือดนตรีและกำกับภาพ อย่างแรกสามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างกลมกลืนกับภาพป่าเขาตามชนบท ทั้งยังทำหน้าที่ช่วยเล่าเรื่องที่ไม่ค่อยมีบทพูดแบบนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนงานภาพก็ทำหน้าที่เล่าเรื่องแทนการพูดเช่นกัน มีหลายฉากที่หนังนำเทคนิคของภาพมาช่วยบอกเล่าอย่างง่ายๆแต่ได้ใจความ เช่น ฉากซังวูหลงทางซึ่งถ่ายให้เห็นภาพเด็กน้อยในกระจกนูน, ภาพการขี่จักรยานผ่านทุ่งนาที่มีสัดส่วนในจอกว่าครึ่ง หนังเลือกจะใช้แสงจ้าตามธรรมชาติ แต่ก็ยังให้ภาพที่อยู่ในสัดส่วนของหนังดราม่ามากกว่า หลายฉากถ่ายได้สวยงามแต่ก็ไม่หลุดออกนอกองค์ประกอบโดยรวมจนเกินพอดี



ในเรื่องย่อยของหนังมีเรื่องเกี่ยวกับวัวบ้า ซึ่งเซียวลีเด็กชายชนบทวิ่งหนี และแม้ยามซังวูโกหกเขาก็เผลอเชื่อโดยไม่ทันมองว่าวัวบ้าที่ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ขณะที่ในท้ายที่สุดซังวูเองก็ต้องมีโชคชะตาให้ต้องวิ่งหนีวัวบ้าดังกล่าวเช่นกัน



วัวบ้าในเรื่องมาจากไหน ไม่มีที่มาที่ไป แต่ที่แน่ๆ มันก็เสมือนเป็นตัวเชื่อมโยงเด็กสองคนที่ต่างกันอย่างสุดขั้วให้เกิดมิตรภาพขึ้นมาได้ อาจกล่าวได้ว่าความบ้ามุทะลุพุ่งเข้าชนของมันไม่ต่างกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่ไหลบ่าเข้ามา เซียวลีวิ่งหนีจากการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมและสิ่งต่างๆที่โถมซัดจากในเมือง ขณะที่ซังวูเองก็ยังต้องวิ่งหนีความเปลี่ยนแปลงจากเมืองสู่ชนบท ซึ่งคนดูเองก็ได้สำนึกถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นความดีของยาย มิตรภาพจากเพื่อน อันแวดล้อมในถิ่นซึ่งเรียบง่ายพร้อมๆกับซังวู



The Way Home ชื่อของหนังจึงไม่ได้หมายถึงเพียงเส้นทางกลับบ้านเกิด แต่ย่อมหมายถึงเส้นทางกลับพื้นฐานบ้านเกิดที่แท้ของมนุษย์นั่นคือธรรมชาติอาจเรียกว่า ยายใบ้ผู้ไม่เคยพูดอะไร = ธรรมชาติผู้มีแต่ให้โดยไม่เคยหวังสิ่งตอบแทนใดๆ



ไม่มีใครจะให้เราได้มากเท่ากับผู้ให้กำเนิดเรามาหรอกครับ

0 Comments:

Post a Comment

Subscribe to Post Comments [Atom]

<< Home